ชีวิตในช่วงนี้ พยายามยึดหลัก minimal อะไรที่ไม่จำเป็นก็พยายามที่จะไม่เก็บ ไม่สะสม ดังนั้น เช้าวันพฤหัสบดี ถือเป็นโอกาสอันดี (เกี่ยวมั้ย) ฉันจึงนำหนังสือนิยายบางส่วนที่อ่านแล้วออกไปบริจาคที่ตลาดแถวบ้าน
ปกติแล้ว
เวลาที่ฉันมักจะข้องเกี่ยวกับตลาดก็นู่นเลย บ่ายบ้าง ช่วงเย็นบ้าง
จุดประสงค์ของการเดินตลาดแถวบ้านก็หนีไม่พ้นเรื่องอาหารการกินนั่นแหละ
หลังจากเดินแบกนิยายในสภาพหัวหูยุ่งเหยิงรวมทั้งสิ้นสองรอบด้วยกัน
เป็นอันเสร็จสิ้นภารกิจความมินิมอล ในเมื่อการแบกนิยายต้องใช้แรงกำลังจำนวนหนึ่ง
ฉันจึงรู้สึกหิวข้าว ตัดสินใจกินข้าวก่อนกลับเข้าบ้าน (เพื่อไปอ่านนิยายต่อ)
เดินสำรวจดูอาหารตามร้านต่างๆ
ฉันจึงได้ข้อสรุปกับตัวเอง
ท่านผู้อ่านเป็นเหมือนฉันไหม
รู้สึกชอบบรรยากาศร้านข้าวแกงยามเช้า อืม แต่เช้าในที่นี้ มันต้องเป็นเวลาเช้าประมาณว่าร้านข้าวแกงเค้าตระเตรียมกับข้าวเอาไว้พร้อมสรรพเป็นส่วนใหญ่แล้วนะ
ใครอุดหนุนร้านข้าวแกงบ่อยๆ
ต้องนึกภาพออก มองไปที่บรรดาถาดใส่กับข้าว อูววว เห็นผัดผักฟูๆ ดูสด ใหม่
กรอบน่ากิน แกงหน่อไม้ไก่ชวนน้ำลายหก ไข่ต้มขาววาววับ
เหมือนกับกำลังเรียกร้องให้เรากัดกิน แกงจืดเต็มถาด และสารพัดสารพันเมนูต้ม ผัด
แกง ทอด เรียงรายเต็มในตู้กระจกใส
ทุกสิ่งอย่างในร้านข้าวแกงยามเช้า
มันช่างเชิญชวนให้เราเข้าไปอุดหนุนซะจริง
อีกสิ่งที่ทำให้ร้านข้าวแกงดูมีเสน่ห์สำหรับฉัน
ได้แก่ บรรดาเมนูพิเศษ เป็นเมนูที่ทางร้านอาจจะไม่ได้ทำออกมาขายเป็นประจำ
อาจเป็นเพราะขึ้นอยู่กับวัตถุดิบที่จัดหามาได้ในแต่ละคราวไป
เมนูพิเศษเหล่านี้
บางทีมันก็เหมือน rare item นะ
ราคาก็อาจจะสูงกว่าราคากับข้าวปกติไปบ้างเล็กน้อย แต่ถ้าฉันได้กินเมนูเหล่านี้
มันก็ย่อมรู้สึกพิเศษไปด้วย (บ้าจริงแกนี่ แต่เชื่อเสะ
มันต้องมีคนรู้สึกแบบฉันบ้าง อิ)
อย่างเช้านี้
ต้มยำปลาทูเป็นเมนูพิเศษที่ฉันเลือก
แน่นอนว่าไม่ใช่ฉันคนเดียวหรอกที่อยากจะสั่งเมนูนี้มากิน
เพราะคุณพี่ผู้ชายท่านนึงที่ยืนอยู่ข้างกันและได้คิวสั่งก่อน
แกก็เลือกเมนูที่ว่านี้ เห็นมั้ยล่ะว่ามันพิเศษ ใครๆ ก็อยากจะลิ้มลอง
อยากจะสั่งมากินด้วยกันทั้งนั้น
นั่งกินข้าวไป
ฉันก็ได้สังเกตบรรยากาศตลาดยามเช้าที่ไม่ค่อยได้มีโอกาสมานั่งสังเกตบ่อยๆ มีคู่คุณพี่ผู้ชาย
ผู้หญิงที่นั่งกินอยู่ก่อน พี่ผู้หญิงกินข้าวเสร็จแล้ว
กำลังหยิบซองยาหลังอาหารออกมากิน คู่นี้ดูปกติ
เบนสายตาไปอีกเล็กน้อย
พี่ผู้ชายอีกท่าน สั่งข้าวมาเรียบร้อยแต่ติดพันคุยโทรศัพท์ ดูจากท่าทาง
คิดว่าน่าจะเป็นการคุยเรื่องธุรกิจ ถ้าไม่ใช่ก็คงซีเรียสเอาการ เพราะพี่เค้าคุยไป
อีกมือก็ยกขึ้นมากุมหน้าผากบ้าง ลูบหน้าลูบตาบ้าง เค้าคุยเรื่องอะไร
ทำไมมันดูหนักหนาขนาดที่ต้องกุมหน้าผากไม่ว่างเว้น
หรือมันไม่ซีเรียสแต่เป็นท่าประจำของพี่เค้า (แกอย่าไปยุ่งเรื่องคนอื่น)
ในเมื่อเราไม่ควรเผือกแบบเฉพาะเจาะจง
เราก็สอดส่ายสายตาไปทางอื่น หันมาอีกทาง เจอคุณพี่ผู้ชายอีกท่าน
หากพิจารณาจากรูปลักษณ์แล้ว พี่คนนี้น่าจะเป็นพวกนักธุรกิจ
ผู้ประกอบการอะไรเทือกนั้น เพราะหน้าตาพี่เค้ามาแนว business
มาก แต่มาสะดุดใจก็ตรงที่พี่เค้าใส่เสื้อยืดแขนสั้นสีขาว
แขนข้างซ้ายเต็มไปด้วยลายสักสวยงาม พี่คนนี้กินข้าวเสร็จแล้ว น่าจะกำลังเดินทางกลับ
ฉันเห็นพี่เค้าหยิบ flannel plaid shirt สีขาวดำมาสวมทับเป็นเชิงว่าจะออกเดินทาง
การนำเสื้อมาสวมทับก็อาจจะเพื่อความสุภาพล่ะมั้ง
โอววว
นี่ฉันมัวทำอะไรอยู่ ทำไมต้องไปเผือกเบ็ดเตล็ด คิดนู่นนี่เกี่ยวกับคนอื่นมากมายขนาดเน้
รีบเคี้ยวรีบกินข้าวให้เสร็จ
จะได้ไปทลายกองดองอีกมากมายที่รออยู่ที่บ้านไม่ดีกว่าหรือ
เลิก
taro
เรื่องคนอื่นแล้วกลับมาโฟกัสเรื่องตัวเอง ได้ทีแซะตัวเองบ้าง
นี่ๆ
ที่แกบริจาคหนังสืออ้างว่ายึดหลักมินิมอลน่ะ แล้วทำไมกับเรื่องอาหารการกิน
อย่างข้าวราดแกง แหม ทีอย่างนี้ล่ะชอบจัดเต็ม เต็มถาด เต็มตู้ แกนี่ช่างย้อนแย้ง
Comments
Post a Comment