นี่ไม่ใช่การรำพึงรำพันเรื่อยเปื่อยแต่อย่างใด แต่เป็นชื่อของบทเพลงที่ฉันชื่นชอบมาเป็นเวลายาวนาน โดยต้นฉบับของเพลงนี้มาจากเพลง Quizás, Quizás, Quizás เพลงภาษาสเปน ที่แต่งโดย Osvaldo Farrés นักแต่งเพลงชาวคิวบา ซึ่งคำว่า quizás นั้น มีความหมายในภาษาอังกฤษว่า perhaps นั่นเอง
Quizás, Quizás, Quizás ได้ถูกนำมาแต่งเนื้อร้องเป็นภาษาอังกฤษโดย Joe Davis กลายมาเป็น Perhaps, Perhaps, Perhaps ซึ่งเวอร์ชันภาษาอังกฤษนี้ ศิลปินหญิงชาวอเมริกันอย่าง Doris Day ก็เคยนำมา cover ในเวอร์ชันของตัวเองมาแล้ว
ในบรรดา cover versions มากมาย ฉันกลับชอบเพลงนี้ในเวอร์ชันของวง Cake มากที่สุด ซึ่งเพลงนี้อยู่ในอัลบั้มที่สองของวงที่ชื่อว่า Fashion Nugget ที่ออกมาในปี 1996 เหตุผลที่ชอบเวอร์ชันนี้ เพราะชอบเสียงของ John McCrea นักร้องนำของวง เสียงของเขาดูเนือยๆ ผสมง่วงๆ แต่ทำไมฟังแล้วเพลินหูดีก็ไม่รู้สิ
ฉันรู้จัก Perhaps, Perhaps, Perhaps เป็นครั้งแรก จากการดูรายการแฟชั่น เหมือนจะจำได้ว่าเป็นการเดินแบบคอลเลกชันของ Blumarine แบรนด์เสื้อผ้าจากประเทศอิตาลีที่มี Anna Molinari เป็นผู้ก่อตั้งและยังเป็นดีไซเนอร์ของแบรนด์นี้อีกด้วย
ยังจำได้อีกด้วยว่าคอลเลกชันนั้น แนวเสื้อผ้าจะออกไปในโทนสบายๆ เหมือนชุดไปเที่ยวทะเล เป็นผ้าบางเบา ดูใส่สบาย เวลาเดินแล้วพลิ้วไปกับสายลม นางแบบแต่ละคนที่มาเดินโชว์ ก็หน้าตาสวยกันทั้งนั้น บวกกับได้เพลงนี้เป็นเพลงประกอบในการเดินแบบ ยิ่งทำให้โชว์นั้นน่าดูมากขึ้นอีก
จากการได้ยินเพลงในคราวนั้น ฉันก็ชอบขึ้นมาทันที แต่ด้วยความที่ตอนนั้นยังเด็ก ภาษาอังกฤษไม่ค่อยแตกฉานเท่าไหร่ ทำให้จับเนื้อร้องได้ทันแต่ประโยคที่ร้องว่า Perhaps, Perhaps, Perhaps เท่านั้น โดยที่ไม่ได้รู้หรอกนะว่า นั่นแหละชื่อของเพลงนี้
นอกจากเสียงของ John McCrea ที่เนือยและง่วงแล้ว จังหวะของเพลง มันก็เนิบๆ ด้วยแหละ เหมือนกับเป็นการร้องไปเรื่อยๆ โดยไม่เร่งรีบอะไร แต่เนื้อหาของเพลงนั้น ฟังแล้วฉันจะรู้สึกอึดอัด คับข้องใจเล็กๆ เหมือนนึกภาพตัวเองเป็นผู้ร้องเพลงนี้ แล้วอยากได้ยินคำตอบแบบชัดเจนซะที ไม่ใช่ตอบมาแบบคลุมเครือ ให้ความรู้สึกมัวซัว เหมือนมีเมฆหมอกปกคลุม
แบบจะตัดใจก็ไม่ได้ จะไปต่อ ก็ลังเล ไม่แน่ใจ มันก็เลยอึดอัดแทนไง ซึ่งถ้าหญิงสาวในบทเพลงให้ความชัดเจนมากกว่าที่เป็นอยู่ ผู้ร้องก็คงเกิดความเชื่อมั่นขึ้นมาบ้าง จะได้เดินหน้า พัฒนาความสัมพันธ์ที่เป็นอยู่ให้ดีกว่าเดิม อะไรประมาณนั้น
มาคิดดู มันก็คล้ายกับสถานการณ์ในชีวิตประจำวันที่ฉันได้พบเจอนะ บางครั้งเวลาอยากได้คำตอบกับเรื่องอะไรบางอย่างที่มันชัดเจน แต่สิ่งที่ได้มา กลับกลายเป็นความคลุมเครือ ไม่ชี้ชัด ปล่อยให้ฉันได้แต่เดาเอาเองว่า มันจะยังไงกันหว่า
การที่จะไปเซ้าซี้ ขอความแน่นอนจากผู้พูด ก็ดูจะไม่ใช่หนทางที่ดี เรื่องบางเรื่อง ฉันจึงได้แต่ปล่อยให้มันกลายเป็นความอึมครึม เป็นสีเทาๆ ไม่ขาว ไม่ดำ ยกตัวอย่างสถานการณ์ที่ทิ้งความรู้สึกคลุมเครือแบบนี้ให้ฉัน เห็นจะเป็นเวลาที่รถไฟฟ้าเสียในตอนเช้าที่เร่งรีบ พนักงานที่สถานีประกาศว่าจะใช้เวลาในการซ่อมแซมประมาณ 15-20 นาที นั่นแหละ ความอึมครึมที่ต้องพบเจอ มันจะต้องตัดสินใจเอาเองว่า จะเอาไงดีกับชีวิตต่อจากนี้ อยู่รอ หรือไปต่อ
จะเดินไปถามพนักงานประจำสถานีเกี่ยวกับความคืบหน้าของสถานการณ์ ณ ขณะนั้น ฉันก็กลัวว่าจะได้รับคำตอบสีเทาๆ กลับมาเช่นเดิม เมื่อนั้นแหละ ประโยคท้ายของเพลงนี้ จึงเป็นอะไรที่ตรงใจฉันมากที่สุดในตอนนั้นแล้ว
“…and please don’t tell me perhaps, perhaps, perhaps” ว่าแล้วก็เดินลงจากสถานี มุ่งหน้าไปเรียกพี่วินมอเตอร์ไซค์ที่แสนจะหายากยิ่งในชั่วโมงเร่งด่วน และวันนั้นก็ถึงที่หมายด้วยสภาพหัวฟู เส้นผมพันกันยุ่งเหยิงจากลมที่พัดมาปะทะใบหน้า ก้มลงค้นหาหวีในกระเป๋าสะพาย อยู่ไหนกันล่ะ อย่าบอกนะว่าไม่ได้เอาใส่กระเป๋ามาด้วย เฮ้อ…perhaps, perhaps, perhaps!
Source
ภาพประกอบ: Photo by Ali Jafarov from Pexels
Comments
Post a Comment