บทเพลงจากแม่


25 มีนาคม 2563

สวัสดี มีนาคม (มาช้ามาก จนเกือบจะหมดเดือนมีนาแล้วค่ะหล่อน)

เมื่อมีนาคมมาถึง ความคิดคำนึงของฉัน มักจะวนเวียนอยู่กับเรื่องราวของแม่

แม่ ผู้หญิงที่มหัศจรรย์เหลือหลาย

แม่ของฉันน่ะ มีดนตรีอยู่ในหัวใจเสมอ แม่ชอบร้องเพลงเป็นชีวิตจิตใจ

วีรกรรมโดดเด่นด้านดนตรีของแม่ที่ฉันจำได้แม่น เห็นจะเป็นตอนที่แม่ได้เป็นตัวแทนนักเรียน ขึ้นไปร้องเพลงชาติหน้าเสาธง นั่น...น่าจะนับเป็นเกียรติประวัติสำหรับครอบครัวได้เลยใช่มั้ยล่ะคะ แต่เดี๋ยวก่อนค่ะ อ่านต่อไปกันอีกสักนิดเถิด แล้วคุณก็จะรู้...

สมัยโน้นน่ะ มันจะมีการ์ตูนที่เป็นที่นิยมในหมู่เด็กวัยแม่อยู่เรื่องหนึ่ง ถ้าฉันจำไม่ผิด รู้สึกจะชื่อเรื่องว่า “เคนโด้”

วันหนึ่ง ขณะที่แม่กำลังร้องเพลงชาติ พอดีว่าบ้านข้างๆ ที่ติดกันกับโรงเรียน ก็กำลังเปิดเพลงเคนโด้

ทีนี้ คุณผู้อ่านพอจะเดากันได้มั้ยล่ะคะว่าเกิดอะไรขึ้นต่อจากนั้น

เหอะๆ จากที่แม่นำเพื่อนนักเรียน “ประเทศไทย รวมเลือดเนื้อ ชาติเชื้อไทย” อยู่ดีๆ กลับกลายเป็นท่วงทำนองเพลงการ์ตูนเคนโด้ไปเลยล่ะค่ะ เหอๆๆ

ตอนที่ฉันได้ฟังเรื่องราวนี้เป็นครั้งแรก เล่นเอาขำไม่หยุดหย่อนกับความติ่งเคนโด้ของแม่ และต่อมาก็เกิดความสงสัยว่า ตกลงในเช้าวันนั้น เด็กทั้งโรงเรียนรู้สึกยังไงกันนะเออ...สับสน งงงวย ตั้งตัวไม่ค่อยจะทัน หรือพากันยินดีปรีดา ไปกับบทเพลงล้างสมองจากเด็กหญิงวัยมัธยมคนหนึ่ง

บรรดาครูบาอาจารย์ในโรงเรียนล่ะ จะมีคุณครูท่านไหนที่เผลอฮัมเพลงเคนโด้ตามลูกศิษย์ดีเด่นหรือไม่นะ คิคิ อิอิ

กาลเวลาก็ได้ผ่านไปอย่างรวดเร็ว จากเด็กมัธยม ผู้สร้างตำนานเคนโด้หน้าเสาธง วาร์ปมาสู่วัยผู้ใหญ่ กลายเป็นคุณแม่ ผู้มีความสุขมากมายกับการเปิดคอนเสิร์ตให้ลูกน้อยหอยสังข์ทั้งคู่ในวัยประถม ได้นั่งฟังตาแป๋วแหวว หน้าสลอนกันอยู่บนเตียง (ใช่แล้วค่ะ ฉันน่ะ เป็นแฟนเพลงภาคบังคับอันดับหนึ่งของแม่)

บทเพลงที่แม่ขับร้องในครั้งนั้น คือ บทเพลงประจำมหาวิทยาลัยของแม่เองค่ะ เนื้อหาของเพลงดังกล่าว บอกเล่าเรื่องราววัฏจักรของดอกไม้ชนิดหนึ่ง และชีวิตภายในรั้วมหาวิทยาลัยของนิสิตในสมัยนั้น

ฉันชอบเพลงที่ว่านี้มาก มันเหมือนกับการได้ฟังนิทานเรื่องหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่นิทานที่เล่าเรื่องในแบบทั่วไป แต่เป็นนิทานที่ถูกขับขานออกมาเป็นท่วงทำนองอันไพเราะ สละสลวย น่าฟัง เป็นความสองต่อที่ถูกใจฉัน เพราะได้ทั้งรับรู้เรื่องราวและเพลิดเพลินไปกับเสียงเพลง

ประโยคหนึ่งจากบทเพลงนั้น สร้างความสงสัยให้เกิดในใจฉัน จนกระทั่งเมื่อไม่นานมานี้ ขณะที่ครอบครัวเรากำลังนั่งจกมื้อเย็นอันหรูหรากันอยู่ ณ ลานหลังบ้าน ฉันเลยเอ่ยปากถามแม่ให้หายข้องใจว่า เคยมีเพื่อน รุ่นพี่ รุ่นน้องร่วมสถาบันคนไหนที่ ‘เดินพลั้งพลาดท่า’ จนลื่นล้ม เหมือนกับเนื้อร้องในเพลงบ้างหรือไม่

แม่ทำท่านึกอยู่พักหนึ่ง จากนั้นแม่ก็ยิ้มและหัวเราะ พร้อมกับเปรยว่า บางทีคนๆ นั้น อาจจะเป็นแม่เองก็ได้ (อืม...อันว่า DNA แห่งความซุ่มซ่ามนี้ มิต้องสงสัยเลยว่าฉันได้แต่ใดมา ขอบคุณท่านแม่หลายๆ จ้า)

ส่วนพ่อจ๋าที่นั่งฟังอยู่ด้วยกัน ได้แสดงความเห็นว่า มันก็เป็นแค่การเปรียบเปรยเท่านั้นแหละลูก (โถ! พ่อจ๋า หนูรู้จ้ะ แต่ก็ขอบคุณพ่อจ๋านะจ๊ะ ขว้างปาคะแนนในส่วน participation ให้พ่อได้เต็มไปเลยจ้ะ คริคริ)

พอโตมา ฉันก็ยังคงจดจำบทเพลงนี้ของแม่ได้เป็นอย่างดี แม้ว่าตัวฉันเองจะศึกษาเล่าเรียนคนละสถาบันกับแม่ก็ตามที

ได้แต่นั่งคิดมะตะบะ / เอ๊ย! ผิดๆ แล้วค่ะ คิดสะระตะ / ว่าแต่โรตีและอาจาดอยู่ไหนล่ะคะ นั่งรอมานานแล้วนะคะ ตอนนี้กำลังหิวเลย รีบเอามาเสิร์ฟซะทีดิคะ

อย่ามัวแต่เห็นแก่กิน! กลับเข้าเรื่องเหอะ ฉันได้แต่คิดพิจารณา มันจะมีมนุษย์คนไหนอีกบ้างมั้ย ที่จดจำเพลงประจำมหาวิทยาลัยของมารดาได้พอกันกับเพลงประจำมหาวิทยาลัยตัวเอง

อือ...ก็ถ้ามารดาของมนุษย์ผู้นั้น ชอบร้องเพลงไม่ว่างเว้น ฉันก็คงมีเพื่อนร่วมชมรมแหละเนอะ / ชมรมไรกันฟระ / อ๋อ...ชมรม ‘มารดาเสียงทอง นักร้องเสียงใส (จนแก้วร้าว)’ ไงล่ะคะ / ตุ้บตั้บ! แม่จ๋า...อย่าทำหนูเลยนะจ๊ะ นี่หนูชื่นชมในฝีไม้ลายมือของแม่อยู่น้า แต่ช้าแต่ โอ๋ๆ เอ๋ๆ / ได้โปรดหยุดทำปัญญา chocolate หน้านิ่มซะค่ะ ก่อนที่แม่จะเดินมาลงโทษคุณจริงๆ นี่เราหวังดีกับคุณนะคะ เราเลยเตือนคุณน่ะ / เออ...จริงสินะ ก่อนที่ท่านแม่จะไหวตัว ตรูควรหยุดค่ะ

หลายปีต่อจากนั้น ในวันหนึ่งที่แสนธรรมดา ฉันได้มีโอกาสรู้จักกับบทเพลงอันแสนประทับใจอีกบทเพลงหนึ่ง จากคุณครูดวงอาทิตย์ หรือครูสอนเปียโนคนที่สองของฉัน

ขณะที่กำลังซ้อมเพลงนี้ที่บ้าน พรมนิ้วไปบนคีย์เปียโนอย่างแช่มช้า เมื่อเล่นมาจนถึงช่วงกลางเพลง จู่ๆ มนุษย์แม่ก็เดินเข้ามาหาฉันอย่างกระตือรือร้น มือข้างหนึ่งถือไม้แขวนเสื้อมาด้วย (โอ๊ย! ไม่นะ ท่านแม่ หนูก็แค่เล่นเพลงนี้ยังไม่คล่องจิ๊ดเดียวเอง แม่ถึงกับจะมาโบยตีหนูเชียวหรือจ๊ะ / หยุดการมโนบ้าบอของเจ้าซะ แล้วหันกลับไปหาแม่)

ทันใดนั้น แม่ก็ตั้งคำถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น “ลูกรู้มั้ยว่านี่เป็นเพลงประจำมหาวิทยาลัยศิลปากร”

โอว...เมื่อได้ยินคำถามนั้นของแม่ ฉันที่ขณะนั้นอยู่ในวัยเริ่มทำงาน พลันนึกย้อนกลับไปถึงเหตุการณ์หนึ่ง สมัยตัวเองยังเป็นนักศึกษา

ขอตั้งชื่อเหตุการณ์ในครั้งนั้นว่า “เรื่องราว (มินิ) พาสเทล”

เห็นชื่อเรื่องแล้ว สงสัยกันบ้างไหม พาสเทลยังไง แล้วทำไมมันต้อง ‘มินิ’

เรื่องมีอยู่ว่า วันหนึ่ง ขณะเดินลงจากรถเมล์ ตรงแถววัดพระแก้ว ฝั่งตรงข้ามกับมหาวิทยาลัยศิลปากร พร้อมกับ textbook ของ Keiso เล่มประจำของเด็กคณะฉัน หนังสือเรียนขนาดใหญ่โตมโหฬาร เล่มสีดำ-เหลือง น้ำหนักของหนังสือเล่มดังกล่าว แทบจะฆ่าแขนและมือของเด็กทุกคนในคณะได้อย่างง่ายดาย (คือหนังสือน่ะ มันไม่เกี่ยวอะไรกับเนื้อเรื่องที่จะเล่าหรอก แต่ด้วยน้ำหนักของหนังสือเล่มนี้ มันสร้างความประทับใจให้กับฉันมาก เลยขอนอกเรื่อง พูดถึงหน่อยก็แล้วกัน 555)

ลงรถเมล์แล้ว ฉันก็เดินเข้าไปไหว้พระแก้วมรกตค่ะ อ้าว! เอ๊ะ! ใช่ที่ไหนกันเล่า มนุษย์บาปหนา หน้าด้านอย่างฉันน่ะ ห่างไกลศาสนายิ่งนัก แค่จะมาเรียนให้ทันคาบเช้า ยังค่อนข้างร่อแร่ ร่อแร่ แล้วจะเอาเวลาที่ไหนไปไหว้พระแก้วมรกตกันล่ะคะ เชิญผิดบาปต่อไปเลยค่ะ ฮือๆ

ในระหว่างข้ามถนน เพื่อรีบมุ่งหน้าสู่เส้นทางแห่งศิลปวัฒนธรรม...

ไม่ได้แล้วตรู โอ้เอ้ไม่ได้อีกต่อไป ใกล้ถึงเวลาเข้าเรียนเต็มที จ้ำ จ้ำ จ้ำ บึ๊ดจ้ำบึ๊ด ก้าว ก้าว ก้าว ก้าวคนเดียว แต่หลายๆ ก้าว (พี่ตูน ไม่โกรธหนูนะคะ)

ทันใดนั้น จึ้ก จึ้ก

อ๊ะ! มีอะไรมาแตะที่บ่าตรูฟระ นกพิราบหลงฝูงเรอะ

ตกใจกลัวและหวาดระแวงคุณพิราบขนาดหนัก ฉันเลยต้องหยุดการจ้ำอ้าวของตัวเองเอาไว้ ณ จุดที่ใกล้กันกับร้านขายอุปกรณ์เครื่องเขียนเก่าแก่ ฝั่งตรงข้ามศิลปากร เพื่อจะได้พบกับชายหนุ่มคนหนึ่ง

ชายหนุ่มคนนั้น มีหน้าตาคมเข้ม ไว้หนวดที่มองเผินๆ ก็รู้ว่าไม่ใช่หนวดประเภทตามมีตามเกิด แต่เป็นหนวดที่ถูกเล็มตกแต่งมาอย่างดี ในส่วนของเสื้อผ้า เครื่องแต่งกายนั้น โคตรจะ outstanding

คุณพี่เค้าใส่กางเกงขากระดิ่ง เสื้อนักศึกษารีดเรียบกริบจนขึ้นสัน แถมเอาเสื้อเข้าในกางเกง คาดทับด้วยเข็มขัดหนังที่ดูแล้วก็ไม่ไก่กา คุณพี่มีผมหยักศก เป็นคลื่นสวย แต่กลับมัดรวบเก็บไว้อย่างเรียบร้อย

โอ...พ่อจ๋าท่านแม่ นี่เป็นเด็กศิลป์ที่ดูเนี้ยบซะยิ่งกว่าเด็กเนิร์ดแบบตรูซะอีกค่ะ เล่นเอาฉันนี่อายจนแทบอยากมุดดินหนีเลยทีเดียวเชียว

ถ้าจะให้บรรยาย เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนนะ ฉันในตอนนั้นน่ะ ชีปะขาวดีๆ นี่เอง หน้าตาดูเอ๋อพอประมาณ เดินทางมามหาวิทยาลัยแต่ละครั้ง ในสภาพที่ยังไม่ตื่นเต็มตาด้วยซ้ำ เสื้อแทบจะหลุดออกมานอกกระโปรง กระโปรงก็เบี้ยวไปมา เกือบจะกลับหน้าไปหลัง ผมเผ้ากระเซอะกระเซิงราวคนเสียสติ และ...ที่น่าตกใจกลัวมากสุด คือ การปรากฏตัวในสภาพหน้าสดค่ะทุกท่าน สดยิ่งกว่าปลาในตลาดซะอีก (เอิ่ม...บางทีปลาที่แช่อยู่ในน้ำแข็งในแผงของแม่ค้าน่ะ มันยังดูหน้าตาดีกว่าฉันเลยค่ะ กระซิกๆ)

หลังจากลอบมองคุณพี่ภายในระยะเวลาอันรวดเร็ว และยังงงๆ อยู่ว่า นี่มันเกิดอะไรขึ้นหนอ ตรูได้ไปทำไรให้พี่เค้าขุ่นเคืองใจหรือไม่ ขณะเดียวกันนั้น ความคิดก็ลอยไปหาคุณกรรไกร เพื่อนยากร่วมคณะ อยากให้เพื่อนมาอยู่ด้วยกันในตอนนั้นซะจริง เพื่อนคงจะช่วยฉันคิดได้ว่าจะเอาไงกับชีวิตต่อดี แต่พอดีว่าเช้าวันนั้น กรรไกรกับฉันเรียนคนละคลาสกันค่ะ ไงล่ะคะ พึ่งตัวเองต่อไปเนอะ

ขณะที่กำลังคิดยุ่งขิง กระเทียม พริกไทยดำในหัว คุณพี่ศิลปินหนวดงาม ก็เป็นฝ่ายเปิดบทสนทนาขึ้นมาก่อน

คุณพี่: เรียนที่ xxx ใช่มั้ย

ฉัน: เล่นบทคนใบ้ชั่วคราว พร้อมกับพยักหน้าหงึกหงักตอบกลับไป ส่วนในใจนั้น นึกสงสัยขึ้นมาครามครัน อ้าว! พี่คะ พี่ก็น่าจะเห็นเข็มตรามหาวิทยาลัยที่ติดบนเสื้อหนูแล้วนี่นา

แต่ด้วยความที่ยังไม่แน่ใจนักว่า พี่เค้าเรียนอยู่คณะอะไร เอกอะไร งั้นก็อย่าวอนหาเรื่องใส่ตัว ด้วยการไปกวนบาทาพี่เค้าเลยเนอะ เกิดพี่เค้าเรียนเอกประติมากรรมนะ แย่แน่ๆ เลยตรู / แย่ยังไงล่ะ / อุเหม่...ก็ถ้าพี่เค้าโมโหขึ้นมา ดีไม่ดี อาจจะโดนทุ่มด้วยหินและปูนปั้นน่ะเซ่ ทางที่ดีก็อย่าไปกวนโมโหพี่เค้าเลย หัดทำตัวให้มันเป็นคนปกติทั่วไปกับเค้าซะบ้างเหอะ

เอ๊ะ! นี่เราจะมัวมานั่งด่าตัวเองทำไมมิทราบคะ กลับสู่บทสนทนาระทึกใจกันต่อเลย

คุณพี่: ชื่ออะไร

ฉัน: เอาแล้วไง ความระทึกนี้ แย่ล่ะสิ ใบ้ต่อไม่ได้อีกแล้วตรู “ใบ้ ใบ้ no more” เอาเหอะเนอะ ถ้าบอกชื่อพี่เค้าไป ตรูอาจรอดจากสถานการณ์นี้ก็เป็นได้ คิดได้ดังนั้น เลยเลิกใบ้ บอกชื่อเล่นตัวเองไปซะ

แต่...มันไม่เป็นดังที่คาดการณ์ไว้ เพราะคุณพี่เค้ายังไม่จบค่ะ ยื่นไมค์สัมภาษณ์ต่อทันที

คุณพี่: ชี้มาที่ textbook 3 กิโลในมือฉัน พร้อมกับคำพูดอันนุ่มนวล “ช่วยถือมั้ย”

ฉัน: โวะ! เอาไงอีกดีแวร้ ตอนนั้นทักษะการเจรจาต่อรอง ยังแบเบาะ BabiMild Kodomo Enfant อยู่เลย (ตอนนี้ก็ใช่ว่าจะพัฒนา เหอะๆ) เลยได้แต่ตอบไปด้วยคำพูดติดปาก “ไม่เป็นไร”

ขณะที่ตอบคุณพี่ด้วยเสียงนุ่ม แบบที่ไม่ใช่ตัวเองฝุดๆ ใจก็พลันหวาดหวั่น นี่พี่เค้าจะโมโหตรูมั้ยเนี่ยที่บังอาจไปปฏิเสธน้ำใจ เริ่มระส่ำระสายพอประมาณ จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว สรุปว่าวันนี้ ตรูคงได้เข้าเรียนสายแหงๆ ใช่ป่ะล่า โฮๆๆ

เหลือบตามองคุณพี่ เห็นพี่เค้าเงียบไปนิดนึง จากนั้น ผ่าง พาง พ้าง! พี่เค้าก็ถามคำถามชวนหัวใจวายเหลือหลายค่ะ

คุณพี่: เบอร์โทรอะไร

Oh my พ่อจ๋าท่านแม่ again! ช่วยลูกที อึ้ง กิม กี่ เส้นหมี่ไปเลยค่ะ ไรแวร้ นี่เดี๋ยวนี้เค้าใช้วิธีขอเบอร์แบบไม่ให้ตั้งตัวกันแบบนี้หรา และเพราะความตกใจ ทำไรไม่ถูก ไปต่อไม่เป็น ฉันก็เสร่ออีกตามเคยค่ะทุกคน

หลังจากปล่อยให้มี dead air + awkward moment แบบที่มีกองฟางก้อนโตๆ ปลิวไปตามทางชั่วระยะหนึ่ง ฉันก็ตอบคุณพี่ไปว่า “ไม่เป็นไร” เหอะๆ เหอๆ déjà vu ไปเลยสินะตรู

ตอบออกไปแล้ว สติเริ่มกลับเข้าร่าง โอ๊ะ! ตะกี้พี่เค้าถามเบอร์โทรไม่ใช่เหรอว้า แล้วนี่ตรูตอบบ้าบออะไรออกไปกันเล่า วะฮะฮ่า ไม่ดับอนาถตอนนี้ แล้วจะไปดับตอนหนายยยยกานนน

เออ...ปล่อยไปซะเหอะ อย่าคิดมากเลย เดี๋ยวถ้าพี่เค้าถามคำถามต่อไปเกี่ยวกับพี่น้อง ค่อยตอบพี่เค้าไปเนอะว่ามีพี่น้องชื่อ ‘ขออภัยเป็นอย่างยิ่ง’ หรือไม่ก็ ‘ด้วยความเคารพอย่างสูง’ (ยังคงวอนบาทาคุณพี่เค้าอยู่ดี คุณว่าระหว่างหินกับปูนปั้น อะไรจะเจ็บสาหัสมากกว่ากันคะ เพราะหนึ่งในนั้น หรือไม่ก็มันทั้งคู่ คงโดนทุ่มมาทางฉันแน่เลยล่ะค่ะ)

หลังจากตอบแบบสิ้นคิด (จริงๆ ก็ไม่มีสมองจะคิดไรทั้งสิ้นค่ะ) ฉันก็เลยรีบฉีกตัวออกจากคุณพี่อย่างรวดเร็ว เงยหน้ามองคุณพี่อีกครั้งก่อนจาก เห็นพี่เค้าทำท่าชะงักไป ด้วยความคาดไม่ถึงกับมนุษย์บ้าบออย่างฉัน

บ๊าย บายค่ะคุณพี่ พี่ช่างโชคดี เพราะพี่คงไม่ต้องเจอหนูอีกแล้วค่ะ เป็นอันว่า จบซึ่งความมินิพาสเทลนี้ในระยะเวลาอันรวดเร็ว โอ้! อนาถเหลือจะกล่าว

ตัดภาพกลับมาที่เดิม ฉันยังคงนั่งอยู่หน้าเปียโน แว่วเสียงแม่กำลังขึ้นเสียงสูงในระดับโซปราโน ตรงท่อนท้ายของบทเพลงที่ว่า “Santaaaa…Luciaaaa”

เอาน่า เล่นประสานเสียง ปิดท้ายความอลังการแก้วร้าวของแม่ซะหน่อยดีกว่า เพลงจบ แต่ท่านแม่ยังไม่จบค่ะ ยังคงถือไม้แขวนเสื้ออันเดิม ติ๊ต่างว่าเป็นไมค์ และกำลังจะทำการ encore โดยไม่มีผู้ชมผู้ฟังร้องขอ (ฮือๆ แม่จ๋า หนูล้อเล่นนะ)

และเรื่องราวทั้งหมดนี้ ก็เป็นเพียงตัวอย่างความสามารถทางด้านดนตรีอันโดดเด่นของท่านแม่ (ขอเสียงตบมือให้แม่หน่อยค่ะ)

เคยนั่งคิดเล่นๆ เหมือนกัน เหตุใดพ่อจ๋าถึงได้มาตกหลุมรักแม่ คิดไปคิดมา ฉันก็ยังไม่ได้ข้อสรุปที่แน่นอน แต่หนึ่งในเหตุผลชวนงุนงง พิศวงเหล่านั้น ไม่แน่ว่าอาจเป็นเพราะน้ำเสียงและอารมณ์ขันของแม่ก็เป็นได้

อย่างที่บอกไปตอนต้นเรื่อง มีนาคม เป็นเดือนที่ฉันมักจะนึกถึงแม่ เพราะนี่คือเดือนพิเศษของแม่ (และพ่อจ๋า)

มีนาปีนี้ ถึงพวกเราจะยังเผชิญกับสถานการณ์ COVID-19 แต่ฉันก็ยังไม่ลืมความพิเศษนี้ และจำเพาะเจาะจงว่าต้องเป็นวันนี้ซะด้วย

สุขสันต์วันครบรอบแต่งงานปีที่... นะจ๊ะ ท่านแม่กับพ่อจ๋า

ปีที่เท่าไหร่นั้น ฮิฮิ ฉันไม่บอกหรอก ใบ้แค่ว่า อายุมากกว่าฉันหน่อยนึง

รักแม่และพ่อจ๋านะจ๊ะ
บุตรสาวลำดับที่หนึ่ง

Source
ภาพประกอบ: My own collection

Comments