โลกนี้มีมนุษย์อยู่หลายประเภท หนึ่งในมนุษย์ที่ฉันชื่นชม คือ มนุษย์ที่เก่งเศรษฐศาสตร์ ไม่เข้าใจเลยจริงๆ ทั้งเรื่องระดับเล็กจิ๋วอย่างจุลภาค และระดับที่ใหญ่ขึ้นมาอย่างมหภาค ไหนจะเส้นกราฟ P และ Q อีกล่ะ ฝันร้ายกลางวันแสกๆ ค่ะ
หลักเศรษฐศาสตร์ที่ฉันจำได้ขึ้นใจมาจนถึงทุกวันนี้ เห็นจะมีอยู่อย่างเดียวเท่านั้น ซึ่งก็หนีไม่พ้นการท่องจำแบบนกแก้วนกขุนทอง (อาศัยว่ามันคล้องจองกันไง เลยจำได้ ไม่งั้นเหรอคะ หึหึ อาจารย์สอนไรมา ไม่ทันข้ามอาทิตย์หรอก คืนให้อาจารย์หมดแหงๆ ค่ะ)
สิ่งที่ฉันจดจำได้ในความ Adam Smith มีเพียงการท่องว่า “อุปสงค์-demand อุปทาน-supply” นั่นล่ะค่ะ เท่านั้นจริงๆ สำหรับความเศรษฐศาสตร์ทั้งหลายแหล่ (ถึงจุดนี้ ท่าน Adam Smith คงได้แต่กลอกตามองบนด้วยความเหนื่อยหน่ายใจกับฉันแน่ๆ)
อีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ฉันเข้าใจในหลักพื้นฐานทางเศรษฐศาสตร์ น่าจะเป็นบทเพลงหนึ่งจาก The Script วงร็อกสัญชาติไอริช ซึ่งเพลงที่ว่า ได้แก่ Breakeven โห...ลองไปฟังกันดูสิคะ ฟังแล้วคุณจะเข้าใจในหลักการจุดคุ้มทุนมาก เป็นการเปรียบเทียบความรักกับหลักเศรษฐศาสตร์ได้แบบ HD มากสุด เห็นภาพกระจ่างสุดแล้ว คือถ้าเค้าใช้หลักการความรักมาอธิบายหลักเศรษฐศาสตร์ เหมือนกับที่ Danny O’Donoghue ทำล่ะก็ ฉันอาจท็อปวิชานี้ก็ได้นะ (อย่าหวังเลยแก)
นอกเหนือไปจากนี้ ต่อให้ขยันอ่านให้ตายยังไง วาดกราฟไปกี่ร้อยพันอัน มันก็ไม่เข้าหัวค่ะ แน่นอนว่าทั้งจุลภาคและมหภาค ฉันได้เกรดในระดับดีด้วยค่ะ D. Dog ไงคะคุณ เหอๆๆ
ดังนั้น เมื่อฉันได้เจอมนุษย์ที่เก่งวิชาเศรษฐศาสตร์ ฉันจึงรู้สึกว่ามันคือความน่าอัศจรรย์ใจเป็นอย่างยิ่ง และหนึ่งในมนุษย์ที่น่าชื่นชมนั้น ได้แก่ เพื่อนสนิทคนหนึ่งของฉันเองค่ะ
ใครที่เคยอ่านบทความก่อนหน้านี้ อาจพอจะจำกันได้ มีหลายครั้งเหมือนกันนะที่ฉันพูดถึงเพื่อนสาวคนนี้น่ะ ไม่ใช่ใครที่ไหน ก็เลขที่ 1 ไงล่ะคะ เพียงแต่คราวนี้ ฉันจะไม่เรียกเธอคนนี้ว่า เลขที่ 1 แล้วแหละ เพราะเจ้าเลขที่ 1 น่ะ มีสมญานามใหม่ว่า C60 เป็นชื่อพิเศษที่ฉันขอมอบให้เพื่อน ด้วยความคิดถึง
ที่มาของชื่อนี้ เกิดขึ้นในตอนที่พวกเรายังคงเป็นนักเรียนมัธยมปลาย ณ คาบเรียนวิชาเคมี ขณะอาจารย์กำลังสอนเรื่องโมเลกุลต่างๆ มากมาย มีโมเลกุลชนิดหนึ่งที่ประกอบขึ้นมาจากธาตุคาร์บอนจำนวน 60 อะตอม พร้อมกันนั้น อาจารย์ก็ได้พูดชื่อภาษาอังกฤษของเจ้าโมเลกุลชนิดนี้ (ใครอยากรู้ว่า เจ้าโมเลกุลนี้ มีชื่ออังกฤษว่าอะไร ขอเชิญไปถามผู้รู้ได้ตามสะดวกค่ะ)
เมื่อฉันและเพื่อนได้ยินเท่านั้นแหละ จากที่รู้สึกง่วงเหงาหาวนอนกับทฤษฎีเคมีต่างๆ ที่อาจารย์สอนไปก่อนหน้า พลันหูผึ่งขึ้นมาทันที หลังจากจบคาบนั้น พวกเราทั้งคู่ก็พากันบ้าบอไปกับชื่อโมเลกุลชนิดนี้เอามากๆ เพื่อนถึงกับบอกว่า ต่อไปให้เรียกมันด้วยชื่อนี้ เก๋ โซอินเตอร์ และน่ารักน่าเอ็นดูในคราวเดียวกัน
นับแต่นั้นเป็นต้นมา ฉันและเพื่อนทุกคนในแก๊ง ต่างพร้อมใจกันเรียกเจ้านี่ด้วยชื่อเฉพาะภาษาอังกฤษจากคาบเรียนวิชาเคมีในครั้งนั้น ด้วยความที่ฉันและ C60 อยู่ห้องเดียวกัน เลขที่ก็ติดกันอีก มันเลขที่ 1 ส่วนฉันเลขที่ 2 เราทั้งคู่เลยสนิทกันจนประหนึ่งปาท่องโก๋ เห็นมันที่ไหน ต้องมีฉันอยู่ข้างกัน ไปไหนไปด้วยกันตลอดเวลา
จวบจนพวกเราก้าวพ้นชีวิตนักเรียนมัธยมปลาย เข้าสู่ชีวิตนักศึกษา ฉันและ C60 ก็ยังคงผูกพันเหนียวแน่น ได้เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยเดียวกัน (แต่ต่างคณะ) แม้ช่วงนั้นจะไม่ค่อยได้เจอกันบ่อยนัก แต่ความสนิทสนมของพวกเราก็ยังคงเดิม
เมื่อถึงเวลาที่ C60 ต้องไปเรียนต่อต่างประเทศ จำได้ว่าครั้งนั้นเพื่อนๆ ทุกคน แห่ไปส่งกันพร้อมหน้าพร้อมตา จำได้แม่นกว่านั้น ฉันน่ะ เตรียมของฝากก่อนจากแผ่นดินเกิดไปให้เพื่อนด้วย ของสิ่งนั้นก็คือ bikini สีสันสดใส ไซส์ไม่พอดีแน่ๆ แต่ฉันชอบแบบไง เลยอยากซื้อให้เพื่อน เพื่อนจะชอบหรือไม่ ใส่ได้มั้ย ไม่ใช่เรื่องสำคัญ ฉันถูกใจ แค่นั้นก็พอ (เลวมากค่ะ)
หลังจากไปเรียนต่อแดนไกล มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ C60 กลับมาจากต่างประเทศ เพื่อนมาเยี่ยมเยียนฉันถึงบ้าน พร้อมชักชวนให้ไปเที่ยว ‘ทะเล’ ด้วยกัน จัดแจงช่วยขอผู้ปกครองที่บ้านฉันให้เสร็จสรรพ เพื่อนบอกว่าจะขอพาฉันไปพะงัน ไปเล่นน้ำ อะไรประมาณนั้นค่ะ
อนิจจา (เหอะๆ หึหึ) จุดประสงค์ที่แท้จริงของเจ้า C60 ในครั้งนั้นน่ะ คือ การไปเที่ยวปาร์ตี้จันทร์เต็มดวง หรือที่ใครหลายคนรู้จักกันดีในนามของ Full Moon Party ณ เกาะพะงัน ไงคะ
แน่นอนว่าเด็ก (เหมือนจะ) เรียบร้อย ผ้าพับไว้ ผีน้อยชีปะขาวอย่างฉันน่ะ ไม่มีทาง get ไปกับ C60 หรอกเนอะว่าปาร์ตี้จันทร์เต็มดวงน่ะ มันเป็นไง และแน่นอนยิ่งกว่าแช่แป้ง ถ้าคนอย่างฉันไม่รู้ ผู้ใหญ่ที่บ้านจะระแคะระคายหรือคะ ไม่มีซะล่ะค่ะ
ด้วยความไม่รู้ถึงกิตติศัพท์แห่งปาร์ตี้แสงจันทร์ บวกกับความสงสารของบรรดาผู้ใหญ่ที่บ้าน ไม่อยากให้เจ้า C60 ต้องไร้เพื่อนเที่ยว (เพราะขณะนั้น เพื่อนส่วนใหญ่ในกลุ่ม เริ่มทำงานกันหมดแล้ว ผีชีปะขาวเฝ้าบ้านอย่างฉัน จึงเป็นตัวเลือกเพียงหนึ่งเดียวของเจ้านี่ไงล่ะคะ) ทำให้ที่บ้านอนุญาตให้ฉันไปกับมันได้
การเดินทางในครั้งนั้น เหมือนจะทุลักทุเลเล็กน้อย นั่งเรือเสร็จ ต้องต่อรถสองแถว ความสองแถวนี่ล่ะ โคตรจะเป็นหลุมเป็นบ่อ โคลงเคลงเหลือหลาย ลงรถมา แทบอยากคายของเก่าออกทั้งหมด
เกาะพะงันเมื่อหลายสิบปีก่อน น่าจะแตกต่างจากปัจจุบันเยอะเหมือนกันนะ ตอนนั้นน่ะ ถ้าไม่นับบรรดาเจ้าของร้าน แทบจะไม่มีคนไทยเลยทีเดียว เหมือนว่าฉันกับ C60 จะเป็นมนุษย์หัวดำสองคนบนโลก ท่ามกลางหมู่มวลชาวต่างชาติ ต่างภาษา โอว...นี่เรายังอยู่ในไทยมั้ยนี่ น่าหวั่นใจจริงๆ ค่ะ
ไหนจะต้องแบกกระเป๋าสัมภาระเองทั้งหมด ไม่มีหรอกนะคะคุณ บริการยกกระเป๋าเหมือนตามโรงแรมห้าดาวน่ะ คุณต้องบริการตัวเองค่ะ เท่านั้นยังไม่พอ ฉันเองก็เพิ่งได้รู้ในวินาทีนั้นแหละว่า เจ้า C60 น่ะ มัน อ๊อฟ ปองศักดิ์ ในด้านที่พักซะด้วย กะไป improvise หาที่พักหน้างาน (แกมันร้ายมาก นี่ถ้าเรารู้มาก่อนนะ สงสัย converse ทางใครทางมัน ไม่ได้ติดสอยห้อยตามแกมาถึงเกาะแน่นอน)
จำได้ว่าครั้งนั้น เป็นการเที่ยวแบบสามวันสองคืน คืนแรก เมื่อเริ่มเข้าสู่ยามเย็น แสงไฟจากบรรดาร้านรวง พากันเปิดสว่าง ยาวไปตามชายหาด เจ้า C60 พยายามชักชวนฉันให้ดื่มด้วยกัน แต่ก็ไม่ค่อยประสบความสำเร็จมากนัก
จนมาคืนที่สอง เจ้านี่มันลงทุน เลี้ยงเครื่องดื่มฉันกันเลยทีเดียว ด้วยความเกรงใจเพื่อน ไหนๆ ก็ซื้อมาแล้ว ดื่มซะหน่อย คงไม่เป็นไร เมื่อมีแก้วแรก แก้วที่สอง สาม สี่ก็ตามมาค่ะ โฮะๆๆ
ฉันน่ะ แม้จะเป็นคนไม่ค่อยดื่ม แต่ก็ใช่ว่าจะปวกเปียก คออ่อน ป้อแป้แต่อย่างใด แต่ในครั้งนั้น ตอนที่ดื่มของมึนเมาเข้าไปน่ะ ยังไม่มีอะไรตกถึงท้อง เลยทำให้มึนได้ง่ายกว่าปกติ
แถมสถานการณ์ทุกอย่างยิ่งแย่มากกว่าเดิม ในตอนที่เราทั้งคู่ เดินเที่ยวไปตามชายหาด จังหวะที่กำลังหาร้านถูกใจนั่งดื่ม เอ๊ะ! ใครมาจับก้นฟระ มั่นใจมากว่าไม่ใช่เพื่อนเราแน่ๆ เพราะเพื่อนเดินอยู่ข้างหน้า (เดี๋ยวค่ะ นี่ไม่ใช่ประสบการณ์ผีๆ อะไรเทือกนั้น)
เมื่อหันกลับไปมอง จึงได้เห็นชายชาวต่างชาติ (ดูสติไม่ครบ) คนหนึ่ง กำลังมองมาที่ฉันตาเยิ้ม พร้อมกับยักคิ้วหลิ่วตาให้เป็นเชิงส่งสัญญาณ ถึงจะเป็นชีปะขาว แต่ฉันไม่ไร้เดียงสาขนาดนั้นหรอกนะ
แวบแรก รู้สึกไม่แน่ใจ นี่คุณฝรั่งเค้าจับผิดคนป่าวฟระ ระหว่างเพื่อนกับฉันน่ะ เพื่อนดูดีกว่ามากค่ะ สายเดี่ยว เปรี้ยว ซ่า ส่วนฉันน่ะเรอะ ใส่กางเกงเล เสื้อสีดำธรรมดามาก เปรียบได้กับ เซ็กซี่และชีปะขาวโดยแท้ ผิดคนแหงๆ
แต่เมื่อมองอีกครั้ง คุณฝรั่งเค้าก็ยังส่งสายตามาที่ฉัน และยังรอดูปฏิกิริยาของฉันอีกด้วยว่าจะเอาไง เล่นด้วยหรือไม่เล่น (ตรูไม่เล่นค่ะคุณ) ใจฉันตอนนั้น ได้แต่คิดว่า “มรึงนี่ช่างวอนดีแท้” และด้วยความมึนเล็กๆ ขาดสติยั้งคิด ทำให้ฉันตัดสินใจ เอาไปเลยค่ะ เอาไป นิ้วกลางของฉัน มีไว้เพื่อคุณ
เท่านั้นล่ะ คุณฝรั่งและผองเพื่อนที่มาจากทิศไหนก็ไม่รู้ พากันหัวเราะยกใหญ่ หารู้ไม่ว่า นั่น...มันยิ่งทำให้ฉันเดือด เดือดจนต้องไปสะกิด C60 และฟ้องเพื่อนด้วยอาการปากยื่นปากยาว
ความยั้งคิดจากพิษแอลกอฮอล์ ยังไม่จบลงเพียงเท่านั้น พอเห็นว่าโดนหัวเราะเยอะแยะ ทำเหมือนทุกอย่างเป็นเรื่องน่าตลก ฉันเลยควันออกหูกว่าเดิม ตรงปรี่จะเข้าไปเล่นงานเหล่าฝรั่งไร้มารยาทพวกนั้นค่ะ
ลองนึกภาพสนุกๆ กันมั้ยคะ มันน่าจะเหมือนกับการเห็น Pug ตัวเล็ก ตาถลน กำลังปรี่เข้าไปหาเรื่องกลุ่ม Doberman ตัวใหญ่ ล่ำสันทั้งฝูง โชคดีที่ C60 ไหวตัวทัน และมีความว่องไวพอในการลากตัวฉันออกไปจากหายนะที่ยังไม่เกิดในครั้งนั้น เครียดมากมาย โกรธจนพูดไม่ออก แต่พอมานั่งนึกตอนนี้แล้ว...ขำนะ
ยิ่งตกดึก คนยิ่งเยอะ น่ารำคาญมากเลย ไม่อยากอยู่ตรงนั้น อยากกลับไปนอนที่ห้องพักโกโรโกโสมากกว่าค่ะ ทำไงดีล่ะ แต่ดูท่าทางเพื่อนยังไม่อยากกลับ (แต่ตรูอยากกลับแล้วไง)
ความชั่วในใจเริ่มทำงาน ยังไงน่ะเหรอคะ ฉันก็เลยแกล้งเมาไปเลยค่ะ ทิ้งตัวดิ่ง ให้เพื่อนตามเก็บ (ชั่วมากเลยเรา) ลงทุนถึงขนาดต้องเล่นละคร หยิบทรายขึ้นมาจะปาใส่นักท่องเที่ยวฝรั่งที่นั่งดื่มอยู่ที่โต๊ะข้างๆ เดือดร้อนถึง C60 ต้องมายื้อยุด ห้ามปรามเป็นการใหญ่
เมื่อเห็นท่าว่าฉันจะไม่ไหวอีกต่อไป เพื่อนจึงตัดสินใจพาฉันกลับที่พัก ตอนนั้น ทำให้ฉันได้รู้ว่า รองเท้าแตะข้างหนึ่งของฉันนั้น ถูกฝรั่งมึนที่ไหนก็ไม่รู้ ฉกไปแล้ว แต่สบู่จริงๆ หนอ ชีวิตนี้ เอาไงดี ถึงตาตรูต้อง อ๊อฟ ปองศักดิ์ บ้างแล้วสินะ
ฉันเลยจัดการสร้างปรากฏการณ์ “รองเท้าแตะไม่เข้าคู่ลูกโซ่” ต่อไป หันไปคว้ารองเท้าอีกข้างที่ดูไม่เข้าพวกมาใส่กลับห้อง (ชั่วช้า เลวทราม ห้ามไม่ไหว)
ระหว่างที่ C60 แบกฉันกลับห้อง (แอบรู้สึกผิดอยู่เหมือนกันที่แกล้งเพื่อนแบบนั้น แต่ฉันไม่อยากอยู่ในงานแล้วนี่นา) เหมือนฉันจะได้ยินเสียงเพื่อนร้องอุทานขึ้นมา ต่อมาจึงได้รู้ว่า เพื่อนถูกบุหรี่ของฝรั่งประมาทเลินเล่อ ถือบุหรี่ไม่ระวัง จี้มาที่แขน (อยากขอโทษเพื่อนมาก แต่ถ้าสารภาพตอนนั้น มันได้เลิกแบกฉันแน่ ตอนนั้นน่ะ ความจริงก็เริ่มมึนหน่อยๆ แล้ว)
แย่ยิ่งไปกว่านั้น เจ้านี่ดันทำกุญแจห้องพักของพวกเราหล่นหายไปไหนก็ไม่รู้ ต้องพากันไปขอกุญแจสำรองจากเจ้าหน้าที่อีก พะรุงพะรังกันเข้าไปอีกค่ะ ชีวิตหนอชีวิต รันทดดีแท้
เมื่อฝืนลากฉันกลับถึงที่พัก อันความ (แกล้ง) เมา (แต่มึนจริง) ของฉันก็ยังดำเนินต่อไป C60 ดูทำอะไรไม่ถูกไปพักใหญ่ จนต้องโทรไปหาเพื่อนสนิทในแก๊งอีกคน ระบายความกลัดกลุ้ม คุยอยู่พักหนึ่ง จากนั้นเจ้านี่ก็ไปหยิบผ้าขนหนู ซับน้ำ แล้วเอามาเช็ดหน้าเช็ดตาให้ฉัน โถ...เพื่อนเอ๋ย ดีแสนดีจริงๆ
ฉันซาบซึ้งในความดีของเจ้านี่มาก ถ้าเป็นคนอื่น อาจโมโหที่ต้องมาทนแบกคนมึนเมา แต่ C60 ก็ยังมุ่งมั่น พาฉันกลับถึงที่พักได้อย่างปลอดภัย ฉันรักแกมาก แกรู้หรือไม่ นับเป็นประสบการณ์ Full Moon Party ครั้งแรก (และคงเป็นครั้งเดียว) ของฉัน และน่าจะเป็นความทรงจำลืมไม่ลงของเพื่อนเช่นเดียวกัน
จากนั้นอีกหลายปี เป็นตาฉันบ้างล่ะ ที่ต้องจากบ้านเกิดเมืองนอน เพื่อไปศึกษายังประเทศเดียวกันกับคุณ C60 แม้จะอยู่คนละเขตเวลา คนละฟากของประเทศ แต่เพื่อนคนนี้ ยังคงเป็นหลักให้ฉันพึ่งพิงเสมอ
ถ้าสิบกว่าปีก่อนนั้น ฉันไม่มี C60 คอยให้คำแนะนำ ให้ความช่วยเหลือ ชีวิตในแดนไกลของฉัน อาจจะไม่ราบลื่น smooth as silk ก็เป็นได้ ภาพของ C60 ที่ไปซื้อของจำเป็นเข้าที่พักเป็นเพื่อนฉันยังคงอยู่ในใจ
ยามที่เพื่อนเช่ารถ แล้วขับพาฉันที่ยังเป็นมือใหม่ในแดนไกล ณ ขณะนั้น ไปเที่ยวย่าน Queen Anne ในยามดึก จุดมุ่งหมายของพวกเรา คือ การไปเยือนสถานที่ที่ใช้ถ่ายทำ Grey’s Anatomy แบบว่าอยากจะไปถ่ายรูปตรงที่ George กับ Meredith มานั่งคุยกันเป็นที่ระลึกไง
ด้วยความไม่คุ้นสถานที่กันทั้งคู่ ทำให้เพื่อนต้องขับรถวกไปวนมา เวียนไปหลายจุด ถนนก็คดเคี้ยว เล่นเอามึนหัวพอประมาณ แต่...ในที่สุด C60 ก็สามารถหาที่แห่งนั้นเจอจนได้ เย่ ดีใจโคตรๆ
ท่ามกลางสภาพอากาศหนาวจนหูแทบหลุด พวกเราหาที่จอดรถ และพากันรีบลงจากรถ ไปยืนถ่ายรูปท่ามกลางอากาศยามค่ำที่หนาวเหน็บ มีเพียงแสงไฟส่องประกายจากเมืองมรกต สวยงามอยู่เบื้องหลัง ถือเป็นการถ่ายภาพที่ทรมานร่างกายแต่ก็มีความสุขทางใจครั้งหนึ่งในชีวิต
ยามที่ฉันปวดหัวกับบรรดาการบ้านวิชาเศรษฐศาสตร์ ฉันก็ได้เพื่อนคนนี้นี่แหละ เป็นคนคอยสอน คอยแนะนำ C60 จะไม่บอกวิธีการตรงๆ ไม่เฉลยทางแก้โต้งๆ แต่เพื่อนจะใบ้อ้อมๆ กระตุ้นให้ฉันหัดคิดด้วยตัวเอง แกเป็นคนดีมาก เรารักแกนะ
ทว่า มิตรภาพของเราทั้งคู่ กลับต้องหยุดชะงัก ในตอนที่ฉันใกล้จะเรียนจบ เหตุเกิดจากความงี่เง่าของฉันเอง ทำให้ฉันตัดสินใจฉลาดน้อย (แกมีความฉลาดด้วยเรอะ) ตัดขาดการติดต่อทุกทางกับเจ้า C60 เพื่อนยาก
ปัจจุบันนี้ ฮือ...คิดถึงแกมากเลย ยังคงซาบซึ้งใจกับทุกสิ่งอย่างที่แกเคยให้ความช่วยเหลือและคอยแนะนำเราเสมอมา เราผิดไปแล้วแก ยกโทษให้เราด้วย
เอาไว้ถ้าเราเลิกฝังตัวเองอยู่ในถ้ำได้เมื่อไหร่ เราสองคนค่อยมาเจอกันอีกครั้งนะ (เพื่อนคงเบ้ปาก บอกไม่อยากเจอฉันอีกต่อไป คริคริ)
สุดท้ายนี้ หวังว่ามิตรภาพของเราสองคน จะยังคงแข็งแรงดุจพันธะโคเวเลนต์
ป.ล. 1 อันที่จริงน่ะ ฉันตั้งใจจะเขียนบทความถึง C60 ในช่วงเดือนสิงหาคมของปีนี้ ซึ่งเป็นเดือนเกิดของเพื่อน ตั้งใจไปอีกว่าจะโพสต์ในวันเกิดของเพื่อน แต่เหตุการณ์หลายอย่างที่เกิดขึ้นกับชีวิต ทำให้ฉันเปลี่ยนความคิด จะช้าหรือเร็ว ฉันก็อยากให้เพื่อนได้รับรู้เอาไว้
ป.ล. 2 ภาพด้านบนน่ะ จำไม่ได้แล้วว่าเราหรือแกถ่าย แต่จำได้ว่าตอนนั้นยะเยือกมาก ดูภาพก็รู้ โฟกัสห่วย ภาพสั่น เพราะมือแข็งแทบกดปุ่มอะไรไม่ได้ทั้งสิ้น
ป.ล. 3 และนี่...คือข้อความที่ฉันอยากฝากบอกแกนะ C60 เพื่อนรักของฉัน
Dear ’Ky,
It’s been more than a decade but it doesn’t seem so long enough for me to leave the hibernation state. If you do remember the story you told me very long, long time ago, I have something not so important to tell you…
Have a good one! (Well, I mean literally and figuratively.) Hope you understand.
Miss you so bad!
Until we meet again,
Koro
Source
ภาพประกอบ: My own collection
Comments
Post a Comment