น้ำจิ้ม


เรื่องราวในวันนี้ ยังคงหนีไม่พ้นอาหารการกิน ใช่สิ เรื่องกินน่ะ เรื่องใหญ่ในชีวิตเลยล่ะ

สำหรับเมนูประจำเย็นวันพุธของฉัน ได้แก่ ปลาชุบแป้งทอด ข้าวสวย และมันฝรั่ง เห็นเมนูนี้แล้ว บางคนอาจแปลกใจเล็กน้อย ทำไมมันมีทั้งข้าวและมันฝรั่งฟระ

แหะๆ มันก็สมควรที่จะตะหงิดใจ เนื่องจากเมนูฉบับดั้งเดิมน่ะ มันเป็นข้าวกับปลาชุบแป้งทอด เสิร์ฟพร้อมสลัดผัก แต่ด้วยความที่ฉันเป็นมนุษย์ไม่ (ค่อย) กินผัก เลยขอน้องคนขาย เปลี่ยนจากสลัดผักมาเป็นมันฝรั่งทอดแทน

เออเนอะ แทนที่จะได้สารอาหารที่มีประโยชน์ครบถ้วน ดันขอเพิ่มคาร์โบไฮเดรตเข้าไปอีก ไม่ได้ดูวัยตัวเองเลยสินะ แป้งน่ะ ไม่ต้องกินเยอะแล้ว ท่องไว้เสะ เดี๋ยวอ้วน อ้วน อ้วนนนน (เพิ่มความเอคโค่ เพื่อเน้นย้ำความอ้วน)

กินแป้งเกินปริมาณที่ควรบริโภคไปแล้ว แถมยังไม่ยอมกินน้ำจิ้มรสเด็ดที่ทางร้านทำมาให้อีก แล้วปลามันจะไปมีรสชาติได้ยังไง อ๋อ...ง่ายมาก ก็ขอเกลือจากทางร้านมาเหยาะซะสิ

มาคิดดู ฉันนี่ก็ถือเป็นมนุษย์ประหลาดอยู่เหมือนกันนะ เข้าข่ายคนประเภทต่อต้านน้ำจิ้มทั้งหมดทั้งมวล

ไปกินสุกี้ น้ำจ้ง น้ำจิ้มอะไรก็ไม่ใส่ ไม่ปรุงเพิ่มแต่อย่างใด

ซื้อลูกชิ้นปิ้งมากิน เป็นต้องบอกแม่ค้าว่าอย่าใส่น้ำจิ้มนะจ๊ะ

กุ้ยช่ายทอด หอยทอด ออส่วน ก็กินมันเพียวๆ แบบนั้นแหละค่ะ ไม่ต้องการน้ำจิ้มสักนิด

สั่งปลาเผามา คนอื่นเอร็ดอร่อย แซ่บจี๊ดกับน้ำจิ้มซีฟู้ด ส่วนฉันเรอะ เอาเนื้อปลาไปแตะเกลือเม็ดใหญ่ๆ ที่ติดมากับหนังปลาด้านนอก อนาถดีแท้

หรือเวลากินผลไม้ บางคนชอบจิ้มพริกเกลือใช่มะ แต่สำหรับฉัน เมินอีกแล้วจ้า

โอ...เป็นการกินที่ดูมินิมอลจัง หรือพูดอีกอย่างให้เข้าใจง่าย คือ กินได้โมโนโทนเอามากๆ จืดชืด ไร้สีสันอย่างแท้จริง

ช่างปะไร ในเมื่อมันคือรสชาติที่ถูกปาก ฉันก็ยังจะกินในทางของฉันอยู่แบบนี้แหละ

ยึดตามคติ “Oishii is in the tongue of the eater.”

ทานโทษนะฮะ เจ้าของคตินี้ ใครกันเหรอฮะ

โฮะๆ จะเป็นใครไปได้เล่า ก็ฉันนี่ไง

Source

Comments