สมัยยังเด็ก อาจจะเป็นด้วยวัยที่ยังไม่ค่อยระมัดระวัง ทำให้ในครั้งหนึ่ง ฉันเคยเดินเหยียบเศษแก้วที่แตกบนพื้น
แม้จะจำความรู้สึกเจ็บในครั้งนั้นไม่ค่อยได้แล้ว แต่มั่นใจมากว่าตัวเองต้องแหกปากร้องไห้เสียงดังไปสามบ้านแปดบ้านอย่างแน่นอน เจ็บหรือไม่เจ็บ ไม่รู้หรอก ขอให้ได้เปล่งเสียงร้องให้สบายใจก่อน
ที่ยังพอจะจำได้ น่าจะเป็นความโกลาหลหลังจากเกิดอุบัติเหตุ พี่เลี้ยงรีบรุดมาดูสถานการณ์ ส่วนกงก็เข้ามาดูสภาพหลาน จำได้อีกอย่างว่าฉันต้องยืนเขย่งเท้าอยู่เช่นนั้นสักพักใหญ่ เพราะเศษแก้วชิ้นนั้นยังคงติดอยู่กลางฝ่าเท้า
จะเอาออกเองเหรอ ไม่มีทาง เด็กขนาดนั้น ขี้แยอย่างแรง แถมใจปลาซิวขนาดหนักอีก
ยังไงก็แล้วแต่ สถานการณ์ในวันนั้นน่าจะคลี่คลายไปได้ด้วยดี คงจะลงเอยด้วยการที่พวกผู้ใหญ่พาฉันไปหาหมอ ให้คุณหมอทำการรักษาตามอาการนั่นล่ะ
สิ่งที่หลงเหลือจากเหตุการณ์ในวันนั้น คือ แผลเป็นกลางฝ่าเท้า
เมื่อเวลาผ่านไป เป็นธรรมดาที่รอยแผลย่อมจางลง และถึงแม้ว่ารอยแผลเป็นจะไม่จางก็ตาม นั่นก็คงไม่ใช่ปัญหาแต่อย่างใด เพราะคงไม่มีใครมางัดฝ่าเท้าฉันขึ้นดูหรอก จริงหรือไม่
รอยแผลเป็นที่จางจนแทบมองไม่เห็น หากแต่ยังคงรู้สึกได้ถึงการมีอยู่ของมัน
ทุกครั้งที่สัมผัสกลางฝ่าเท้า นิ้วของฉันจะต้องสะดุดเข้ากับรอยบาด แม้จะไม่ได้ทิ้งความเจ็บปวดอะไรเอาไว้แล้วก็ตามที หากมันก็สร้างความรู้สึกขัดใจให้ฉันอยู่ไม่น้อยกับผิวสัมผัสที่ไม่เรียบเนียน
นอกจากนี้ ในบางเวลา เมื่อก้าวขึ้นลงบันได ฉันจะรู้สึกตึงหน่อยๆ ที่กลางฝ่าเท้า ซึ่งก็ตรงกับบริเวณแผลเป็นนั่นแหละ
เดาเอาว่า เศษแก้วที่ทิ่มกลางเท้าเมื่อหลายสิบปีก่อนนั้น คงทิ่มเข้าไปลึกพอสมควร (บรึ๋ยส...พอนึกภาพแล้ว หวาดเสียวขึ้นมาเลย)
หนึ่งแผลเป็น พร้อมภาพความหลังที่ประกอบไปด้วยเศษแก้วแตกกระจายบนพื้นห้องครัว เลือดหนึ่งหย่อม และน้ำตาของเด็กหญิงขี้แยอีกประมาณสามล้านแกลลอนเห็นจะได้
Source
ภาพประกอบ: Photo by Adrien Olichon from Pexels
Comments
Post a Comment