Time After Time


เมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว ในค่ำคืนหนึ่ง ณ เมือง San Diego เพื่อนชาวอเมริกันที่ฉันไปเช่าบ้านอยู่ด้วย ได้พาฉันออกไปเปิดหูเปิดตายามราตรี

ไม่แน่ใจว่าเพราะเหตุใดเพื่อนถึงมาชักชวน อาจจะอยากเห็นคน (ดูเหมือน) เรียบร้อยแบบฉัน สลัดมาดเงียบหงิมก็เป็นได้ หรือไม่ก็เกิดสงสารฉันที่คร่ำเคร่งอยู่กับการทบทวนตำรับตำราเรียนเพื่อเตรียมสอบ

เราทั้งคู่ไปถึงร้านช่วงหัวค่ำ เปิดประตูเข้าร้าน เห็นลูกค้าพอสมควร หลังจากได้โต๊ะ เราก็ดื่มด่ำกับบรรยากาศและเสียงดนตรีภายในร้านกันอยู่พักหนึ่ง จากนั้น เพื่อนก็สั่งเครื่องดื่มกับพนักงานของร้าน

เมื่อได้ยินชื่อเครื่องดื่มที่เพื่อนสั่งมาให้ สร้างความตกใจให้ฉันเล็กน้อย เพราะมันคือ Chardonnay หรือไวน์ขาวนั่นไง โอย...จากที่คิดว่าอาจจะจิบ cocktail เบาๆ เหตุไฉนจึงกลับกลายเป็นไวน์ไปซะได้

ทันทีที่พนักงานนำเครื่องดื่มมาเสิร์ฟบนโต๊ะ ฉันนึกอยากชิ่งกลับบ้านเหลือเกิน แค่เห็นน้ำสีเหลืองอ่อนในแก้วไวน์ใสปิ๊ง มีไอเย็นจับรอบแก้ว ฉันก็เริ่มหวั่น ไม่อยากดื่มเลย แต่ก็กลัวเพื่อนเสียใจ

เอาน่า กลั้นใจดื่มๆ ไป แก้วไวน์ก็ไม่ได้ใหญ่มากเท่าไหร่ เดี๋ยวมันก็คงหมดนั่นแหละ คิดดังนั้นแล้ว ฉันตัดสินใจหยิบแก้วไวน์ขึ้นมา เพียงจิบแรก หยึย ขม ไม่แนวอย่างแรง (แน่ล่ะสิ นั่นมันไวน์ขาว ไม่ใช่ชานมไข่มุกนะเฟร้ย)

ด้วยความที่ไม่ถูกใจในรสชาติ ทำให้ฉันรีบเร่งดื่มไวน์ในแก้วให้หมดโดยเร็ว นึกแต่เพียงว่า ดื่มให้จบไปซะ จะได้ไม่ต้องดื่มอีก

ทว่า นั่นคงเป็นความคิดของฉันแต่เพียงผู้เดียว เมื่อเพื่อนเห็นว่าเครื่องดื่มในแก้วของฉันหมดลงอย่างรวดเร็ว เธอจึงหันไปสั่งเครื่องดื่มให้ฉันอีกครั้ง เวรจริงหนอตรู

พนักงานเสิร์ฟเดินมาที่โต๊ะพวกเราอีกหน และ...ฮืออออ...มันมาแล้วค่ะ Chardonnay แก้วที่สอง ในใจฉันตอนนั้น คิดแต่ว่า ไม่น่าเล้ยยย... ไม่ควรรีบเร่งดื่มแก้วแรกให้หมดไวเลย ถ้าค่อยๆ ละเลียดดื่ม จิบเพียงเล็กน้อยแบบมีสไตล์ ก็คงไม่ต้องมีแก้วที่สองให้ฝืนใจไปมากกว่านี้

ระหว่างที่ก่นด่าตัวเอง มือก็ยังคงจับแก้ว กระดกไวน์ลงคอ (แต่ด้วยสปีดที่ลดระดับจากเดิมมาก) และด้วยความที่ก่อนหน้านั้น ฉันไม่ทันได้กินมื้อเย็น ท้องเลยว่าง ทำให้เกิดอาการมึนง่ายกว่าปกติ

นั่งจิบไวน์แก้วที่สองไปได้ไม่ถึงครึ่ง ฉันก็มีอันต้องไปเข้าห้องน้ำ จุดนั้น สายตาเริ่มพร่าแล้ว เห็นภาพเบลอๆ โอว...นี่ตรูเมาแล้วสินะ คออ่อนระดับอนุบาล ว่าแล้วก็เดินแบบเซๆ ชนคนที่เดินผ่านไปมานิดหน่อย แต่ก็ยังพอจะมีสติอยู่บ้าง

หลังจากเดินกลับมาที่โต๊ะแบบเลื่อนลอยเล็กๆ เพื่อนคงเห็นสภาพป้อแป้ของฉันและตระหนักได้ถึงความคออ่อนเหลือทน เธอจึงตัดสินใจจบค่ำคืนแห่งการออกเที่ยวไว้เพียงเท่านั้น

เมื่อเข้ามาในรถเป็นที่เรียบร้อย พร้อมหัวมึนตึ้บ ฉันก็แทบสลบ ขณะที่เพื่อนขับรถพากลับบ้าน เธอก็ยื่นมือไปกดปุ่มบนวิทยุ หาเพลงฟังไปเรื่อย

ในความมึนแสนมึน ฉันได้ยินเสียงเพลงหนึ่งลอยมาเข้าหู

“Flashback, warm nights almost left behind
Suitcases of memories
Time after…”

นั่งทบทวนความจำตัวเองภายใต้ความมึน เอ๊ะ! นี่มัน Time After Time เพลงดังของ Cyndi Lauper นี่นา แต่เดี๋ยวนะ มาถึงท่อนไหนของเพลงแล้วล่ะ

ฟังแบบมึนๆ ไปสักพัก จนเริ่มตามเนื้อร้องทัน ฉันจึงนั่งเงียบ เฝ้ารอให้เพลงเล่นมาถึงท่อนที่ต้องการ จากนั้นก็เปล่งเสียงร้องอ้อแอ้ออกไป

“If you’re lost, you can look and you will find me
Time after time
If you fall, I will catch you, I’ll be waiting
Time after time”

โวะ...ช่างเป็นเพลงที่เหมาะกับบรรยากาศ ณ ตอนนั้นมาก

สาวเอเชียคนหนึ่ง กำลังฮัมเพลงในโหมดกรึ่มๆ ไปพร้อมกันกับสาวอเมริกัน ผู้ (อดทน) ฟังเสียงร้องเพี้ยนๆ สไตล์ร่อแร่ของเพื่อนคออ่อน

คืนนั้น พวกเรากลับถึงบ้านโดยสวัสดิภาพ (ก็แหงล่ะสิ มีแกมึนเมาอยู่คนเดียวนี่นา) เมื่อรถจอดสนิท ฉันเปิดประตู ก้าวออกจากรถ ยืนรอเพื่อนไขกุญแจบ้านแบบเอียงไปเอียงมาเล็กน้อย

เข้าบ้านมาได้ เดินเข้าห้องนอนตัวเอง ล้มตัวลงบนเตียงด้วยความโล่งใจ และเข้าสู่นิทรารมณ์อย่างรวดเร็ว

เช้าวันรุ่งขึ้น เพื่อนเรียกฉันด้วยสมญานามใหม่

Miss Chardonnay นั่นล่ะ ชื่อของฉัน

Source
ภาพประกอบ: Photo by Krisztina Papp from Pexels

Comments