ห่างหายจากหน้าจอและแป้นพิมพ์ไปหนึ่งอาทิตย์ ได้เวลาหวนคืนซะที เอาล่ะ มาเริ่มเรื่องแรกที่ทำให้ฉันเกิดอาการคันไม้คันมือ จนอยากหาที่ระบายกันดีกว่า
วันหยุดที่ผ่านมา เดินเข้าร้านหนังสือ และเป็นธรรมดาที่จะต้องมีหนังสือติดไม้ติดมือกลับบ้าน โดยครั้งนี้เลือกเล่มถูกใจมาได้สี่เล่มด้วยกัน
ถือหนังสือ เดินไปจ่ายเงินตรงเคาน์เตอร์ ได้ยินคุณน้องพนักงานแจ้งว่า แต้มบุญที่สะสมไว้ สามารถใช้เป็นส่วนลดหนังสือได้ เช่นนั้นแล้ว จะมัวรออะไรล่ะ ฉันรีบพยักหน้าหงึกหงัก รับคำแนะนำจากคุณน้องและใช้ส่วนลดอย่างว่องไว
จ่ายเงินเรียบร้อย คุณน้องพนักงานคิดเงินจึงยื่นใบเสร็จรับเงินมาให้ ชะ ชะ ช่า...เดี๋ยวก่อน นั่นไม่ใช่ใบเสร็จธรรมดานะเออ ไม่ธรรมดา อะฮ้า ไม่ธรรมดา (แล้วแกจะร้องเพลงไปทำไม) ตรงส่วนท้ายของใบเสร็จ ยังมีคูปองส่วนลด 100 บาทแนบมาให้ด้วย
ขณะยื่นมือไปรับใบเสร็จจากคุณน้องด้วยสีหน้าแช่มชื่น ในใจฉันก็คิดสะระตะไปด้วย อืม...สงสัยเดือนนี้จะสะสมแต้มบุญไว้เยอะสินะ นอกจากส่วนลดที่เพิ่งใช้สิทธิไปก่อนหน้าแหมบๆ ยังได้คูปองส่วนลดมาเพิ่มอีก
มิน่าเล่า ช่วงนี้ถึงรู้สึกว่ากระเป๋ามันเบาหวิวจัง ที่แท้ก็หมดไปกับการเปย์หนังสือนี่เอง (รู้ตัวแบบดีเลย์มาก) โอว...เงินจ๋า เจ้าช่างปลิวหายไปในอากาศอย่างรวดเร็วเหลือเกิน คิดแล้วคอก็ตกลงเล็กๆ ได้แต่โบกมือบ๊าย บาย (ในใจ) ให้กับภาพเงินที่พากันตีปีกพรึ่บๆ บินลั้ลลาจากฉันไปไกล
ยังเศร้าได้ไม่เท่าไหร่ เงยหน้าขึ้นมา เห็นคุณน้องพนักงานผู้หญิงอีกคนที่ยืนอยู่ข้างคุณน้องพนักงานคิดเงิน มอบรอยยิ้มและรอยื่นคูปองอีกหนึ่งใบมาให้ฉัน โอ...สะบัดอาการ (ว่าจะ) เศร้า ทิ้งไปในบัดดล ยื่นมือออกไปรับด้วยความเบิกบานใจเหลือแสน
รับคูปองมาแล้ว ก้มหน้าลงไปมอง เห็นโลโก้โรงภาพยนตร์เด่นหราอยู่มุมบนของคูปอง ยะฮู้...นี่มันบัตรส่วนลดไว้ใช้ดูหนังนี่นา อันความโชคสองชั้นแบบ inception นี้ ฉันขอรับไว้ด้วยความเต็มใจ
ทว่า หลังจากอ่านเงื่อนไขที่ระบุในคูปองอีกครั้ง จิตใจที่พองฟูราวลูกโป่งสูบลมไว้จนเต็ม กลับฟีบแฟบลงโดยพลัน จะอะไรซะอีกล่ะ ก็ในคูปองที่เพิ่งได้มา มันระบุเอาไว้ว่าสามารถใช้ลดได้ ต่อเมื่อซื้อบัตรชมภาพยนตร์จำนวน 2 ที่นั่งน่ะเซ่
ฮือ...ไม่เข้าใจ ทำไมโชคดีแบบนี้ ต้องมาพร้อมเงื่อนไขด้วยเล่า ไม่นึกถึงหัวอกคนชอบดูหนังคนเดียวเอาซะเลย จะให้มนุษย์ที่ชอบฉายเดี่ยวในการดูหนังอย่างฉัน ลงทุนซื้อตั๋วหนังสองใบ เพื่อส่วนลดในคูปอง มันก็ไม่เข้าท่า จากที่จะได้ประหยัดเงิน กลับกลายเป็นต้องเสียเงินเพิ่มน่ะสิ
เมื่อเป็นเช่นนี้ ฉันจึงได้แต่คร่ำครวญโหยหวนด้วยความสะเทือนใจอยู่ผู้เดียว อารมณ์นั้น นึกถึงเพลง Ironic จากนักร้องชาวแคนาดา Alanis Morissette ขึ้นมาทันที
“A traffic jam when you’re already late
A no-smoking sign on your cigarette break
It’s like ten thousand spoons when all you need is a knife
It’s meeting the man of my dreams…and then meeting his beautiful wife
And isn’t it ironic, don’t you think?”
รู้สึกอิน เข้าถึงอารมณ์เพลงได้อย่างลึกซึ้ง
ในเวลาที่คุณกำลังสายอยู่แล้ว รถก็ดันติดอีก
เมื่อถึงเวลาพักสูบบุหรี่ แต่กลับมีสัญญาณห้ามสูบบุหรี่ขึ้นมา
ทำไมถึงมีแต่ช้อนเยอะแยะ ในเวลาที่คุณต้องการแค่ส้อมเพียงอันเดียว
อุตส่าห์เจอชายในฝัน แต่ฝันนั้นก็ต้องมอดดับลง เมื่อคุณได้พบภรรยาของเขา
โลกนี้มันช่างน่าขำนัก คุณว่างั้นมั้ย
“A little too ironic, and yeah I really do think”
เหอะๆ ตลกร้ายล่ะสิไม่ว่า
ฉันได้แต่มองเจ้าคูปองส่วนลดใบนั้นด้วยความเสียดายเป็นอย่างยิ่ง เห็นทีว่าคงไม่ได้ใช้ประโยชน์เป็นแน่แท้ ทำได้แค่ครวญเพลงของ Alanis ปลอบใจตัวเองต่อไปตามลำพัง
“It’s like rain on your wedding day
It’s a free ride when you’ve already paid
It’s the good advice that you just didn’t take
Who would’ve thought…it figures”
ฮือๆ คงต้องดัดแปลงเนื้อร้องให้เข้ากับบรรยากาศสินะ
“It’s the good reward that I just can’t use
And I have to throw it away…”
ระหว่างร้องเพลงนี้ มีน้ำตา (จากความงกและเสียดาย) ซ่อนอยู่เต็มๆ จ้า
Source
Comments
Post a Comment