สิ่งที่ค้นพบในร้านจิปาถะ


หลังกินข้าวเสร็จเมื่อเย็นวาน ฉันและคุณน้าเบอร์หนึ่งมุ่งหน้าไปยังคอมมูนิตี้ มอลล์ใกล้บ้าน เนื่องจากคุณน้าต้องการซื้อของใช้ที่ร้านขายของจิปาถะ ซึ่งตั้งอยู่ภายในศูนย์การค้า

นั่นคือจุดประสงค์หลักสำหรับการออกจากบ้าน ส่วนผลพลอยได้น่ะหรือ เราทั้งคู่ยังได้เดินออกกำลังกายหลังกินข้าวด้วยไงล่ะ

เมื่อมาถึงร้าน สองคนน้าหลานจึงแยกกันเดินดูของตามความชอบ ความสนใจของแต่ละคน แม้ไม่มีอะไรที่ฉันอยากได้เป็นพิเศษ แต่การได้กวาดตามองบรรดาสินค้ากระจุกกระจิกภายในร้านที่เปิดแอร์เย็นฉ่ำ มันก็เป็นอะไรที่ผ่อนคลายดีมิใช่น้อย

เดินผ่านชั้นวางของไปสองสามแถว สายตาฉันก็ไปสะดุดเข้ากับชุดกระดาษเขียนจดหมายที่มาพร้อมซอง มีลวดลายการ์ตูนเป็นเจ้าแมวหน้าตาน่ารัก พลันนั้น ในใจบังเกิดกิเลสขึ้นมาเล็กๆ

รู้ตัวอีกที มือขวาของฉันก็ยื่นไปหยิบชุดจดหมายชุดนั้นขึ้นมาดูซะแล้ว

ขณะกำลังพิจารณาเจ้าแมวเหมียวน่าเอ็นดูบนแผ่นกระดาษ ฉันก็ค้นพบความจริงหนึ่งข้อ ถึงจะถูกใจกระดาษเขียนจดหมายลายแมวมากแค่ไหน จนถึงขั้น (อาจจะ) ตัดสินใจซื้อกลับบ้าน ฉันก็คงไม่มีโอกาสได้หยิบออกมาใช้ในเร็ววันนี้อย่างแน่นอน

สิ่งที่ได้ค้นพบ ทำให้ฉันเริ่มลังเล อืม...ซื้อ ไม่ซื้อ ซื้อ ไม่ซื้อ

สุดท้าย ฉันและคุณน้าเบอร์หนึ่งต่างกลับบ้านมือเปล่า

เมื่อกลับถึงบ้าน แต่ความคิดของฉัน กลับยังคงวนเวียน เฝ้าเสียดายกระดาษเขียนจดหมายลายน้องเหมียวชุดนั้น ประมาณว่ารู้งี้ซื้อมาด้วยซะเลยก็ดี

นานมาแล้ว การเขียนจดหมายถือเป็นงานอดิเรกอย่างหนึ่งของฉัน

ชอบ...ยามที่ได้เห็นแผ่นกระดาษกับซองจดหมายที่ถูกออกแบบมาให้เข้าคู่กันเป็นอย่างดี

สนุก...ยามขลุกอยู่เป็นนานในแผนกเครื่องเขียน เพียงเพื่อใช้เวลาในการตัดสินใจเลือกซื้อกระดาษเขียนจดหมายลายที่ตัวเองถูกใจ

เพลิน...เมื่อจรดปากกาลงบนหน้ากระดาษ เริ่มต้นบรรยายเรื่องราวที่ตัวเองพบเจอมา ให้ใครสักคนได้อ่าน

ภูมิใจ...ในตอนที่เขียนจบ ได้แต่หวังว่าคนอ่านจะสนุกไปกับเรื่องราวที่ฉันเล่า

อิ่มเอม...เมื่อลงมือปิดผนึกซอง เขียนชื่อ-ที่อยู่ผู้รับจดหมาย และติดแสตมป์

ลุ้น...ในเวลาที่หย่อนซองจดหมายนั้นลงตู้ไปรษณีย์สีแดง และรอคอยเวลาที่จดหมายจะเดินทางไปถึงมือผู้รับ

ดีใจ...เมื่อผู้รับ แกะจดหมายของฉันอ่านเป็นที่เรียบร้อย

ตื่นเต้น...เวลาชะเง้อชะแง้ มองหาบุรุษไปรษณีย์ที่หน้าบ้าน และเฝ้าคอยจดหมายที่ผู้รับ เขียนตอบมาหาฉัน

ความรู้สึกต่างๆ ที่เพิ่งกล่าวถึงไป สามารถสัมผัสได้อย่างครบถ้วน จากการเขียนจดหมายนี่แหละ

สำหรับฉันแล้ว การเขียนจดหมาย จึงเป็นการฝึกฝนความอดทนไปในตัว

เวลาผ่านไป พร้อมการมาถึงของเทคโนโลยีที่ก้าวไกลกว่าเดิม ชุดกระดาษเขียนจดหมายจึงค่อยๆ ห่างหายไปจากชีวิตประจำวัน

อีเมล มาแทนที่ จดหมาย

ตัวอักษรจากการพิมพ์ มาแทนที่ ลายมือในการเขียน

ปุ่ม send มาแทนที่ การหย่อนซองจดหมายลงตู้ไปรษณีย์สีแดง

คำว่า seen หรือ read ที่ปรากฎอยู่ตรงด้านข้างของข้อความที่ส่งให้คู่สนทนา มาแทนที่ การฝากความหวังไว้กับบุรุษไปรษณีย์ ผู้นำส่งจดหมาย

เสียง “ติ๊ง” จากข้อความที่เพิ่งขึ้นมาบนหน้าจอโทรศัพท์ มาแทนที่ ความตื่นเต้นจากการเฝ้ารอคอยจดหมายให้มาถึงมือเรา

ปัจจุบัน แม้อาจจะไม่ค่อยมีใครมานั่งเขียนจดหมายหากันแล้วก็ตาม แต่ความชอบในการเขียนจดหมายของฉัน กลับไม่ได้ลดลงแต่อย่างใด

สิ่งที่ยากยิ่งกว่าการลงมือเขียนจดหมาย คงเป็นการหาใครสักคนที่เราสามารถเขียนจดหมายไปถึง เพื่อบอกเล่าเรื่องราว ถ่ายทอดประสบการณ์ต่างๆ ให้เขาหรือเธอได้อ่าน

ยากแสนยากกว่านั้น คือ การคาดหวังว่าผู้รับจดหมายจะเขียนจดหมายตอบกลับมา นั่นสินะ เดี๋ยวนี้คงไม่ค่อยมีใครยินดี สละเวลามานั่งสื่อสารในแบบดั้งเดิมกันหรอก

บางที ฉันคิดว่าอาจได้เวลา เริ่มเขียนจดหมายหาตัวเองในอนาคตดูสักครั้ง

ในเมื่อไม่รู้จะเขียนหาใคร งั้นก็เขียนจดหมายถึงตัวเองซะเลย

Source
ภาพประกอบ: Photo by Suzy Hazelwood from Pexels

Comments