Hannibal Rising


หายหน้าไปหลายวัน เพราะมัวแต่นั่งหน้าจอดูหนังน่ะสิ โดยภาพยนตร์ที่ทำให้ฉันเกาะขอบหน้าจอในครั้งนี้ เป็นหนึ่งในภาพยนตร์ชุด Hannibal ที่สร้างจากผลงานการประพันธ์ของ Thomas Harris ไล่ดูมาตั้งแต่ The Silence of the Lambs, Hannibal และ Red Dragon โดยขณะกำลังนั่งดูหนังอย่างติดพัน ใจก็เริ่มสงสัยขึ้นมานิดหน่อย เอ...นี่เรากำลังหลงไหลความจิตๆ เข้าแล้วใช่หรือไม่

สำหรับ Hannibal Rising ซึ่งเพิ่งดูจบไปสดๆ ร้อนๆ อันที่จริงต้องบอกว่า นี่คือปฐมบทแห่ง Hannibal Lecter จิตแพทย์ผู้ปราดเปรื่อง แต่ในอีกมุมหนึ่งนั้น เขาคือฆาตกรต่อเนื่องที่เมื่อลงมือจัดการเหยื่อครั้งใด การันตีได้ถึงความระทึกขวัญ สั่นประสาท จนบางครั้งเกือบทนดูไม่ไหว ต้องปิดตาหนึ่งข้างขณะรับชม (แต่ก็ยังดูนะ เหอะๆ จิตกว่าก็คงเป็นผู้ชมแบบฉันนี่แหละ)

ย้อนกลับไปเมื่อได้ดู The Silence of the Lambs โอย...ยังจำได้ดีถึงความน่ากลัวในแบบเยียบเย็นที่ค่อยๆ เข้ามาเกาะกุมจิตใจ จากฉากการพูดคุยกันระหว่าง Dr. Lecter และ Clarice Starling เพียงแค่ดูสีหน้า ท่าทาง อากัปกิริยาขณะพูดของ Anthony Hopkins ผู้รับบท Hannibal Lecter มันก็ชวนประสาทเสียแล้ว

ฉากที่เป็นแก่นของเรื่องในตอนที่ Clarice พูดถึงอดีตอันขมขื่นในวัยเด็กพร้อมกับเสียงร้องของเหล่าฝูงแกะที่กำลังถูกต้อนไปฆ่า ซึ่งเสียงแกะร้องนั้น ยังคงติดตรึงอยู่ในความทรงจำของเธอเรื่อยมา ฉันว่าฉากนี้ Jodie Foster ตีบทแตกกระจุย นั่งดูอยู่หน้าจอแท้ๆ ยังรู้สึกเหมือนว่าตัวเองอยู่ร่วมในเหตุการณ์ไปด้วย แว่วเสียงแกะร้อง “บา-แรม-ยู” (เอิ่ม ผิดเรื่องมั้ยแก ตั้งสติหน่อยเซ่)

มาถึง Hannibal ที่ออกฉายในปี 2001 ซึ่งในภาคนี้ ระดับความสะเทือนขวัญยิ่งมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นฉากที่ Dr. Lecter จัดการกับเจ้าหน้าที่ตำรวจชาวอิตาเลียนแบบโหดและชวนสยองสุดๆ ฉากหมูป่าที่วิ่งเข้ามากลุ้มรุม ฉีกทึ้งเหยื่อเป็นอาหาร (ดูฉากนี้แล้ว สารภาพเลยว่ารู้สึกกลัวหมูป่ามาก)

ฉากชวนขวัญบินอันดับหนึ่ง ต้องฉากนี้เลย ดินเนอร์สุดหรู จากฝีมือจิตแพทย์ ผู้ชื่นชอบการปรุงอาหารเป็นชีวิตจิตใจ เมนูอาหารถูกปรุงแบบสดใหม่ด้วยการผ่ากะโหลกมนุษย์ ตัดชิ้นส่วนสมองมาเล็กน้อย นำชิ้นสมองไปทอดบนกระทะต่อหน้าผู้ร่วมมื้ออาหาร ในขณะที่เจ้าของวัตถุดิบนั่งเลือดท่วมหัว กึ่งไร้สติอยู่บนโต๊ะเดียวกันด้วย บรึ๋ยยย...ใครมันจะกล้ากินฟระ (ถึงแม้สมองชิ้นนั้นจะดูนุ่มและน่ากินมากก็เหอะ) เฮ้ย! ความจิตนี่มันสามารถถ่ายทอดถึงกันผ่านทางทีวีได้ด้วยเรอะ หยุดความคิดพิลึกและเช็ดน้ำลายไปเลยนะ

Red Dragon เป็นเรื่องราวต่อมาของภาพยนตร์ชุดนี้ ซึ่งหากจะไล่เรียงตามลำดับเวลาแล้ว เรื่องราวในภาคนี้น่ะ เกิดขึ้นก่อน The Silence of the Lambs และ Hannibal ซะอีก ประมาณว่าหลังจากโบกมืออำลา Will Graham (ผู้รับบท คือ Edward Norton) เจ้าหน้าที่ FBI ไปแล้ว จากนั้น Dr. Lecter ถึงได้พบกับ Clarice Starling

สำหรับฉากชวนตะลึงจาก Red Dragon น่าจะเป็นตอนที่ Francis Dolarhyde (รับบทโดย Ralph Fiennes) เข้าไปใน Brooklyn Museum เพื่อเข้าชมภาพเขียนที่ตนเองคลั่งไคล้ The Great Red Dragon and the Woman Clothed in Sun ผลงานของ William Blake ขณะกำลังชื่นชม พิจารณาผลงานศิลปะชิ้นนั้น เขาก็จัดการกับเจ้าหน้าที่พิพิธภัณฑ์ที่พาเข้าชม ฉีกภาพเป็นสองท่อน จากนั้นก็เคี้ยวภาพกินด้วยความฮึกเหิม

ดูแล้วได้แต่กรีดร้องอยู่ในใจ โอว...นี่ถ้า William Blake ยังมีชีวิตอยู่และมาเห็นเข้า Dolarhyde คงโดนจัดการด้วยพู่กัน กระป๋องสี  และขาตั้งวาดภาพ โทษฐานที่ทำลายผลงานแหงๆ ก็ขนาดคนดูยังช็อกแทบแย่ เจ้าของผลงานจะรู้สึกยังไงกันนะ

เอาล่ะ กลับมาสู่ Hannibal Rising ปฐมบทของเรื่องราวทั้งหมดกันซะที ในภาคนี้ จะเป็นการบอกเล่าเรื่องราวความเป็นมาของ Hannibal Lecter เริ่มตั้งแต่ชีวิตในวัยเด็ก จนเติบโตเป็นนักเรียนแพทย์

ผู้รับบท Hannibal Lecter ในภาคนี้ ไม่ใช่ใครอื่น นักแสดง/นายแบบชาวฝรั่งเศส หน้าตาหล่อเหลา Gaspard Ulliel ขวัญใจฉันเอง ในเมื่อคนรับบทเป็นชายหนุ่มที่ฉันชื่นชอบเป็นอย่างมาก ต่อให้จิตแค่ไหน โหดร้ายเพียงใด ฉันก็ยังรักเขา โอ...เป็นเอามากนะแก

พูดตามจริง ฉันว่า Gaspard แสดงออกมาได้ดีมาก ความจิต ความเหี้ยม สื่อสารออกมาผ่านทางสีหน้าแบบเต็มที่ หนึ่งฉากที่สะพรึงสุดในความรู้สึก เป็นตอนที่เขาจัดการกับคนขายปลา มันจะมีช่วงหนึ่งที่เขาหันหลังให้ศัตรู เผยรอยยิ้มออกมา จากนั้น เมื่อถึงเวลาลงมือ รอยยิ้มหล่อๆ เลือนหายไปจากใบหน้า เหลือเพียงความเด็ดขาด แน่วแน่ในการตัดสินใจของตนเอง ทำเอาฉันหนาวเยือกไปกับรอยยิ้มในโหมดเหี้ยมโหดขึ้นมาเลย

ฉากที่ใช้เชือกจัดการกับศัตรูนั่นก็หลอนดีแท้ เลือดจากเหยื่อสาดกระเด็นมาโดนใบหน้า จากนั้นเขาก็ค่อยๆ ใช้มือปาด ดื่มด่ำในรสเลือดของอริ รวมไปถึงฉากในร้านอาหารที่เขาหยิบลูกเชอร์รีสีแดง เพื่อชักจูงเด็กน้อยให้เข้ามาหาตนเอง ชั่วขณะหนึ่งที่ Gaspard ขยิบตาข้างซ้ายให้หนูน้อย ทำฉันใจละลายอย่างง่ายดาย (มันใช่เวลามั้ยเล่า) แต่เมื่อเขาเริ่มร้องเพลง พร้อมกับแอบใส่ป้ายชื่อโลหะเข้าไปในกระเป๋าเสื้อของเด็กหญิงผู้นั้น โอว...มันดูจิต ดูน่าหวั่นใจเหลือเกิน

นอกจากความหล่อเหลาของ Gaspard Ulliel ที่เตะตาฉันตลอดทั้งเรื่อง นักแสดงอีกหนึ่งคนที่ทำให้ฉันประทับใจ ได้แก่ Gong Li ผู้รับบท Lady Murasaki คุณป้าสาวหม้ายของ Hannibal ในเรื่องนั่นเอง เธอสวยมาก ดูสวยแพง สวยแบบผู้ดี ชวนให้คนดูหลงเสน่ห์ไปในทุกฉากที่เธอปรากฎตัว (ฉันว่าหน้าตาของ Gong Li มีความคล้ายคลึงกับคุณฮันนี่ ภัสสร บุณยเกียรตินะ)

เมื่อรับชมเรื่องราวในภาคนี้จบ ทำให้ฉันเข้าใจในความเป็น Hannibal Lecter มากกว่าเดิม ได้รับรู้ประวัติอันน่าเศร้า สะเทือนใจ ได้เห็นว่าเหตุการณ์ใดและใครที่หล่อหลอมให้เขาเติบโตขึ้นมาเป็นคนแบบนั้น มีบางช่วงขณะที่รับชม ฉันรู้สึกสะใจยิ่งนักที่ Hannibal จัดการกับคนที่เคยทำร้ายเขาในอดีตได้สำเร็จ (รู้แหละว่าไม่ดี แต่มันก็อดไม่ได้นะ ส่วนหนึ่งมั่นใจว่ามาจากความลำเอียงของฉันในการเป็นติ่งสุดหล่อ Gaspard นี่แหละ)

จะว่าไป ฉันยังไม่เคยชมเรื่องราวของ Hannibal ในเวอร์ชันที่แสดงโดย Mads Mikkelsen เลย เคยได้ยินมาบ้างว่านักแสดงชาวเดนมาร์กผู้นี้ ถ่ายทอดความเป็น Hannibal Lecter ออกมาได้ดีเช่นกัน

หากมีโอกาสได้ดูละครโทรทัศน์ชุดนี้เมื่อไหร่ อาจจะกลับมาบอกเล่าความรู้สึกให้ฟังกันอีกครั้ง

ส่วนตอนนี้ ขอทิ้งท้ายคำพูดหนึ่งจาก Dr. Lecter เผื่อผู้อ่านท่านใด ยังไม่ได้กินข้าว อาจจะเจริญอาหารมากขึ้น

“I do wish we could chat longer, but I’m having an old friend for dinner.”

ทานข้าวให้อร่อยนะจ๊ะ (ผลัวะ! โดนคนอ่านถีบ)

Source

Comments