หลังจากใจเต้นตึกตักจากทักษะการขับรถของคุณพี่คนขับรถเมล์แล้ว มามะ มาต่อด้วยเหตุการณ์อึน มึน งงกันเถอะ อืม...รู้งี้อยู่บ้านสบายๆ กดโทรศัพท์ แล้วนั่งรออาหารมาส่งดีกว่า
เอาเหอะ ช่างมัน กลับมาเล่าเรื่องราวต่อให้จบซะ
หลังจากกินข้าวอิ่ม ฉันก็เดินเล่นดูนู่น นี่ นั่นไปเรื่อยเปื่อย สุดท้ายก็พาตัวเองมาหยุดที่ร้านหนังสือ ระหว่างเดินดูหนังสือน่าสนใจที่เพิ่งจะออกวางขายอย่างเพลินใจอยู่นั้น คุณน้องในวัยนักศึกษาสองคนก็เข้ามาพูดคุยกับฉัน
เริ่มต้นด้วยการถามว่าตัวฉันพอจะมีเวลาช่วยทำแบบสอบถามหรือไม่ พร้อมกับบอกว่านี่ไม่ได้เป็นการมาเรี่ยไรเงินแต่อย่างใด มีการบอกเพิ่มเติมอีกด้วยว่าเธอทั้งคู่จะต้องเก็บข้อมูลให้ได้สามสิบคนต่อวัน ขณะนี้เพิ่งรวบรวมได้แค่เก้ารายเท่านั้น
ด้วยความเห็นใจน้องทั้งคู่ที่ยังอยู่ในวัยเรียน ฉันเลยตอบตกลงที่จะทำ “แบบสอบถาม” ดังเช่นคุณน้องได้บอกกล่าวไว้ตอนต้น ต่อจากนั้น หนึ่งในน้องสองคนจึงถามชื่อเล่นของฉัน จดมันไว้ในกระดาษแผ่นเล็กๆ ที่มีรายชื่อของเก้าคนก่อนหน้าเรียงเป็นแถวอยู่
ลำดับต่อมา น้องอีกคนก็ยื่นแผ่นพับกลางเก่ากลางใหม่ใบหนึ่งมาตรงหน้าฉัน และอธิบายรายละเอียดของโครงการให้ความช่วยเหลือประเภทต่างๆ 4 ประเภทด้วยกัน มีทั้งการช่วยเหลือผู้ป่วยเด็กโรคหัวใจ ช่วยเหลือสัตว์ คนสูงอายุ และผู้ป่วยโรคเอดส์
ฟังคุณน้องทั้งคู่ร่ายจบ ฉันก็รับกระดาษแผ่นนั้นมามองอย่างเบลอๆ งงๆ อ้าว! ไหนน้องบอกว่าไม่ได้มาเรี่ยไรเงิน แล้วทำไมมันลงท้ายเหมือนเป็นการชักชวนคนให้ช่วยบริจาคได้ฟระ
ขณะที่ตัวฉันกำลังหลงวนเวียนอยู่กับความมึนงงในคำพูดของคุณน้อง จนอาจจะแสดงสีหน้าสับสนออกไป หนึ่งในน้องสองคนจึงพูดว่า พี่ไม่งงใช่มั้ย ไม่ทราบว่าในจำนวน 4 โครงการนี้ พี่สนใจจะช่วยเหลือด้านไหนคะ
อืม...น้องยิ่งพูด ฉันยิ่งมึน มันคือความงงในงง inception อีกแล้วสินะ แต่ก็ยังตอบน้องไปว่าสนใจโครงการช่วยเหลือเด็กป่วยเป็นโรคหัวใจ เมื่อได้ฟังคำตอบของฉัน น้องก็เก็บข้อมูลลงในกระดาษใบเดิมที่เคยจดชื่อเล่นฉันเอาไว้ และขอทราบเหตุผลที่เลือกโครงการนี้
ถึงจะยังงงไม่หาย ฉันก็บอกน้องไปว่า รู้สึกสงสารเด็ก (เป็นนางงามไง รักเด็กค่ะ) น้องก็จดคำตอบลงในกระดาษแผ่นเดิม เก็บข้อมูลเสร็จสิ้น น้องก็นำเสนอต่อไปว่า หากคุณพี่สนใจที่จะช่วยเหลือเด็กๆ ที่เจ็บป่วย คุณพี่สามารถทำได้ด้วยการสมทบทุนเป็นเงินจำนวน 399 บาท พร้อมกับเปิดแผ่นพับที่ฉันได้รับไปที่หน้าสุดท้าย เพื่อให้เห็นจำนวนเงินชัดๆ
งงอย่างไร ก็ได้งงอยู่อย่างนั้น เออ...คนจะทำบุญ ยังต้องกำหนดจำนวนเงินให้ด้วยเฟร้ย น้องเก็บแผ่นพับใบแรกไป จากนั้นก็ยื่นสมุดใหม่เอี่ยมเล่มหนึ่งมาแทน พร้อมกับคำอธิบายว่า เพื่อเป็นสิ่งตอบแทนในความช่วยเหลือของฉัน ทางโครงการจะขอมอบสิทธิพิเศษ เป็นบรรดาคูปองส่วนลดทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นส่วนลดสำหรับการเข้าพักที่โรงแรมในจังหวัดเชียงใหม่ ท่องเที่ยวเรือสำราญยามค่ำ กินอาหารญี่ปุ่น ทำเล็บ เสริมความงาม อะไรอีกเยอะแยะ
จุดนั้น รู้สึกไม่เข้าใจหนักมาก นี่มันไม่ใช่การตอบแบบสอบถามอย่างที่คุณน้องอ้างไปตอนต้นนี่หว่า ต้องบอกว่ามันก็คือการมาขอเรี่ยไรเงิน อย่างที่คุณน้องพยายามปฏิเสธนั่นแหละ
ฉันว่าเหตุการณ์แบบนี้ มันเหมือนกึ่งบังคับให้คนต้องร่วมช่วยเหลือยังไงอยู่นะ พูดได้ไม่เต็มปากว่าเราเต็มใจจะช่วย รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังถูกล่อลวงด้วยการใช้คำพูดที่จงใจเบี่ยงเบน ทำให้ผู้ฟังเกิดความเข้าใจผิด
จากความคิดที่แค่อยากช่วยเหลือน้องนักศึกษาในการตอบแบบสอบถาม กลายเป็นต้องมาเสียความรู้สึกหน่อยๆ อารมณ์ประมาณ นี่ตรูโง่โดนหลอกเสียตังค์อยู่ใช่มั้ย
หลังจากได้คำตอบอันไร้เสียง ซึ่งดังมาจากตัวตนด้านร้ายภายในใจที่ตอบกลับมาว่า “ใช่แล้ว แกนี่โง่จัง” ฉันก็เริ่มเสียดาย ไม่น่าหลวมตัวไปสงสารคุณน้องเลยจริงๆ แต่ทำไงได้ จะปฏิเสธก็รู้สึกไม่ดี ก็คงต้องเสียตังค์ไปแหละเนอะ
ตัดสินใจได้ดังนั้น ฉันจึงตกลงว่าจะ “ให้ความช่วยเหลือ” โดยการหยิบเงินสดออกมาจำนวน 400 บาท คุณน้องบอกให้ฉันกรอกชื่อ นามสกุล ในระหว่างที่กำลังนั่งเขียน เธอยังร่ายให้ฉันฟังอีกว่า ตอนนี้ยอดเงินสำหรับโครงการให้ความช่วยเหลือสัตว์ ยังได้เป็นจำนวนไม่มากเท่าไหร่
แม้จะรู้ตัวแล้วว่าโดนหลอก หูฉันก็ยังรับฟังข้อมูลนั้น ความตั้งใจเริ่มไขว้เขว เงยหน้าขึ้นมาถามน้องว่า ถ้าฉันจะเปลี่ยนจากช่วยเหลือผู้ป่วยเด็กโรคหัวใจ มาเป็นช่วยเหลือสัตว์จะได้หรือไม่ พอน้องบอกว่าได้ ฉันรู้สึกดีใจขึ้นมาเป็นครั้งแรก หลังจากหลวมตัวเป็นเหยื่อการตลาดของคุณน้อง
เออ ดีจ้ะน้อง ถึงพี่จะโดนหลอก แต่อย่างน้อยก็ขอโดนหลอกแบบที่สร้างความพอใจสูงสุดก็แล้วกัน ปลอบใจตัวเองได้แบบนั้นแล้ว ฉันจึงตัดสินใจ เปลี่ยนเป็นให้ความช่วยเหลือสัตว์แทน
และแล้ว เรื่องราวก็ได้ดำเนินมาจนถึงจุดที่ทำให้ฉันเริ่มหงุดหงิด เมื่อคุณน้องเห็นว่าฉันเปลี่ยนใจ เธอจึงเสนอความคิดให้ฉันช่วยเหลือทั้งสองโครงการ ทั้งเด็กและสัตว์ ตอนนั้นจากปลง กลายเป็นโกรธนิดๆ อะไรกัน ได้ไปหนึ่งไม่พอ ยังจะมาขอสองอีกเรอะ
ในเมื่อโดนหลอกไปหนึ่งครั้ง ฉันจะไม่ตกเป็นเหยื่ออีกเป็นครั้งที่สอง นั่นทำให้ฉันได้แต่ตอบปฏิเสธไปด้วยเสียงนุ่มนวล พร้อมรอยยิ้มตามมารยาท ยืนยันว่าจะเลือกโครงการช่วยเหลือสัตว์เพียงเท่านั้น
เมื่อยื่นเงินให้คุณน้อง เธอพยายามขอถ่ายรูปฉันเก็บไว้ ซึ่งก็ได้รับการปฏิเสธจากฉันอีกเช่นเดียวกัน (เข้มแข็งไว้นะแก เราต้องมีจุดยืน) จากนั้นฉันจึงบอกน้องไปว่า พอดีตัวเองคงไม่ได้ใช้คูปองจากหนังสือที่ได้รับ จะขอให้สิทธินั้นกับน้องแทนได้หรือไม่
น้องบอกว่ามีหลายคนที่ทำแบบฉัน (แสดงว่าคนเหล่านั้น ต่างก็รู้ตัวว่าโดนหลอกไงเล่า และคงไม่อยากเห็นสมุดคูปองเล่มนั้นให้รู้สึกทิ่มแทงใจ) น้องให้ฉันเขียนต่อท้ายจากชื่อตัวเองไปด้วยข้อความว่า คืนสมุดให้โครงการ คาดว่าตัวน้องทั้งคู่คงรับคูปองไม่ได้ เพราะคูปองส่วนลดเล่มนั้นน่ะ จะว่าไป มันก็ไม่ต่างจากสินค้าอย่างหนึ่งที่น้องกำลังทำการเสนอขายให้ผู้ซื้อ พนักงานขายจะเอาสินค้ามาใช้เองได้ไง จริงมะ เดี๋ยวเจ้าของสินค้าได้โกรธแย่
หลังรับเงินจากฉัน เก็บหนังสือคูปองส่วนลดกลับไป คุณน้องทั้งคู่ก็ได้อันตรธาน จรลีจากไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งความผิดหวังครั้งสุดท้ายไว้ให้ฉัน
พี่ยื่นเงินให้น้องไป 400 บาท น้องบอกว่าพี่สามารถให้ความช่วยเหลือโดยให้เงินจำนวน 399 บาท แล้วไหนกันล่ะ เงินทอนหนึ่งบาทของพี่ น้องคงไม่คิดว่าพี่ต้องการเงินทอนแหงๆ
เป็นการเสียเงินที่สร้างความเจ็บใจซะจริง บุญเบินอะไร คงไม่ได้แล้วมั้ง ก็ใจฉันยังคงอาวรณ์กับเงินที่เสียไปอยู่เนี่ย อ้อ! เห็นน้องบอกว่าถ้าใครไม่สะดวกจ่ายเป็นเงินสด (ซึ่งทางตัวน้องเอง เค้าก็ไม่อยากรับเป็นเงินสดสักเท่าไหร่ คงกลัวเงินหายล่ะมั้ง) สามารถโอนผ่านทางออนไลน์ หรือโอนที่เคาน์เตอร์ธนาคารก็ได้นะ
เอาเถอะจ้ะน้อง จุดนั้นพี่อยากให้ทุกอย่างมันจบสิ้นได้แล้ว เจ็บปวดใจเหลือเกิน รับเงินจากพี่ไปเลยจ้ะ หนึ่งบาทที่น้องลืมคืน พี่ไม่เอาแล้วก็ได้ (ถึงจะเอา น้องก็ไม่อยู่คืนให้ไง)
ขณะกลับไปดูหนังสือในร้านต่อ ฉันก็นึกเสียดายตังค์ 400 บาทนั่นขึ้นมาอีกรอบ ก็นั่นน่ะ ซื้อหนังสือกลับบ้านได้หนึ่งเล่มเลยนะ ได้แต่ส่ายหัวกับตัวเอง ไม่น่าเลยตรู
Source
ภาพประกอบ: Photo by rawpixel.com from Pexels
Comments
Post a Comment