กิมเล้ง


ยังจำกันได้หรือไม่ วันก่อนที่ฉันเล่าให้ฟังว่า ตั้งใจจะไปกินอาหารที่ร้านแถวสี่แยกคอกวัว พอไปถึง ก็ต้องหูลู่ด้วยความผิดหวัง เพราะร้านปิดวันอาทิตย์ ในเมื่อความอยากกินอาหารอร่อย ยังคงค้างคาอยู่ในใจ ยังไงก็ต้องหาโอกาสไปลองกินให้ได้ จริงป่ะ

เมื่อวานเป็นโอกาสอันดี เนื่องจากพวกเราสามคน มีพ่อจ๋า แม่ และฉัน วางแผนเอาไว้ว่าจะไปดูนิทรรศการจิ๋นซีฮ่องเต้ ซึ่งจัดขึ้นที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เมื่อดูจากสถานที่จัดแสดงและที่ตั้งร้านอาหาร เห็นว่าอยู่ในละแวกไม่ไกลกันมากนัก ประกอบกับเวลานี้ เทศกาลกินเจ ใกล้เข้ามาทุกทีแล้ว คุณน้าทั้งสอง ซึ่งกินเจเป็นประจำทุกปี ก็คงต้องงดกินเนื้อสัตว์ไปสองอาทิตย์ ดังนั้น ฉันจึงตัดสินใจว่าจะไปลองชิมอาหารที่ร้านนี้ดูก่อน ถึงเวลาออกเจ จะได้แนะนำคุณน้าได้ว่าอาหารจานไหนอร่อย (อย่ามาอ้าง แกอยากกินจนทนไม่ไหวล่ะเซ่)

ร้านนี้ชื่อ กิมเล้ง ตั้งอยู่ถนนตะนาว เป็นร้านเก่าแก่ขายมานานแล้ว (แต่ฉันเพิ่งเคยรู้จัก อืม...แกมัวไปงมดินอยู่ไหนมาฟระ) ได้ยินพ่อจ๋าเปรยว่า ร้านชื่อจีน แต่ขายอาหารไทย เออ! จริงของพ่อจ๋า โดยก่อนหน้านี้น่ะ ฉันเคยเห็นภาพอาหารที่ร้านจากในโลกออนไลน์ โอย...เห็นภาพหมูสับปลาเค็มทอดแล้ว ทำเอาน้ำลายสอ

พวกเราสามคนพ่อแม่ลูก ไปถึงร้านกิมเล้งตอนสิบโมงนิดๆ เรียกว่าเป็นลูกค้าโต๊ะแรกของร้าน แต่...เดี๋ยว! ถึงจะเป็นโต๊ะแรก แต่ก่อนหน้านั้นน่ะ ทางร้านมีออเดอร์สั่งอาหารแบบมารับกลับค่อนข้างเยอะอยู่แล้ว เมื่อรู้แบบนั้น ฉันเลยรีบอ่านเมนู รีบสั่งอาหาร ด้วยใจที่ร่ำร้องอยากกินของอร่อยเร็วๆ

ระหว่างนั่งรออาหาร กวาดสายตาไปรอบร้าน จนมาสะดุดอยู่ที่รูปถ่ายคู่กันของคุณลุงเจ้าของร้านกับคุณวิษณุ เครืองาม ข้างรูปถ่ายใบนั้น มีบทความจากคอลัมน์ เดินดินกินข้าวแกง ที่ลงในหนังสือพิมพ์มติชน ซึ่งคุณวิษณุได้เขียนเล่าถึงการมาเยือนร้านกิมเล้งตั้งแต่ปี พ.ศ. 2556 โดยทางร้านได้ตัดคอลัมน์นั้นและเอามาใส่ในกรอบรูปขอบทอง ประดับอยู่ในตู้กระจกใบใหญ่ เอาไว้ให้ลูกค้าได้อ่าน

เมื่ออาหารยังมาไม่ถึงโต๊ะ ฉันจึงมีเวลาอ่านบทความชิ้นนั้นต่ออีกนิด ได้ความมาว่า ถนนตะนาว เป็นภาษามอญ มีความหมายว่าเครื่องหอม โดยแต่เดิมนั้น ย่านนี้เป็นย่านทำพวกเครื่องหอม เป็นชุมชนอาศัยของคนเชื้อสายมอญ นอกจากนี้ ในย่านถนนตะนาว ยังเป็นที่ตั้งของโรงเลี้ยงวัวอีกด้วย ในบทความชิ้นนั้น คุณวิษณุ ได้บอกเอาไว้ว่า เป็นย่านที่มีทั้งกลิ่นเครื่องหอมและกลิ่นขี้วัว คนอ่านอย่างฉันก็ยืนอ่านเพลินไปเลย

สำหรับชื่อ กิมเล้ง มีความหมายว่ามังกรทอง และจากที่แม่ได้ไปพูดคุยกับคุณลุงเจ้าของร้าน ได้ความว่า เตี่ยของคุณลุง เป็นผู้สอนลูกทำอาหารไทยเหล่านี้ แต่คุยกันได้เพียงแป๊บเดียว คุณลุงก็ต้องเดินเข้าออกระหว่างหน้าร้านกับบริเวณในครัวเป็นว่าเล่น เนื่องจากวุ่นกับการจัดการกับออเดอร์ลูกค้าที่จะมารับที่ร้าน ซึ่งได้สั่งเอาไว้ก่อนหน้า การพูดคุยสอบถามของแม่จึงจบลงแต่เพียงเท่านั้น (แอบดีใจแทนคุณลุงนะ ไม่อย่างนั้นคงต้องคุยกับแม่ฉันจนเมื่อยแน่ๆ)

เมนูที่โต๊ะเราสั่ง ได้แก่ หมูสับปลาเค็มทอด ห่อหมกปลาช่อน ต้มยำขาหมู ผัดสามเหม็น (เป็นเมนูที่มีอาหารกลิ่นแรงสามอย่างด้วยกัน คือ ชะอม กระเทียมดอง และสะตอ) สั่งอาหารและนั่งรอสักพัก เห็นคุณลุงถือถาดปลาทูทอดเหลืองกรอบมาวางไว้ตรงตู้กระจกหน้าร้าน โอว...มันเป็นอะไรที่น่ากินมาก

ภาพปลาทูทอดสีเหลืองสวยถาดนั้น ช่างดึงดูดใจ จนฉันกับแม่ต้องเดินไปดูที่ตู้กระจก เห็นแล้วมันอดใจไม่ไหว ฉันอยากกินปลาทู ส่วนแม่บอกว่าน้ำพริกมะม่วงดูน่ากินมาก สรุปว่าเราแม่ลูกเลยเดินไปสั่งปลาทูทอดกับน้ำพริกมะม่วงมาเพิ่มอีก

ก่อนหน้าที่อาหารจะมาเสิร์ฟ ฉันเห็นแม่ครัวยกกล่องอาหารสีขาวออกมาตั้งเรียงอย่างเป็นระเบียบอยู่กลางโต๊ะที่ว่างตัวหนึ่ง อารมณ์เผือกในตัว สั่งการให้คอยืดคอยาว มองสำรวจอาหารในกล่องที่ยังคงเปิดฝาอยู่นั้น ไม่เห็นอะไรมากนัก เห็นเพียงหางกุ้งโผล่ขึ้นมาแว้บๆ

เดาเอาว่า นี่จะต้องเป็นหมี่กรอบ เมนูขึ้นชื่ออีกอย่างของร้านกิมเล้งแน่ๆ และดูแล้ว โต๊ะข้างๆ ก็คงเผือก เอ๊ย! อยากรู้เช่นเดียวกับฉันว่าอาหารที่ตั้งเรียงรายบนโต๊ะ มันคือเมนูอะไร ได้ยินลูกค้าโต๊ะข้างๆ เอ่ยถามคุณลุง ซึ่งคำตอบของคุณลุง ก็ไม่ได้ผิดไปจากที่ฉันคาดไว้ มันคือ หมี่กรอบชาววัง เมนูดังนั่นเอง เสียดายที่คราวนี้ไม่ได้สั่ง แต่มั่นใจว่าอร่อยแน่ เพราะออเดอร์เดียว สั่งตั้งห้ากล่องแหนะ

และแล้ว ได้เวลาอาหารมาเสิร์ฟ ฉันหั่นหมูสับปลาเค็มทอดเข้าปากเป็นอย่างแรก อืม...หอม ทั้งกลิ่นหมูสับ และกลิ่นปลาเค็มที่คลุกเคล้าเข้ากัน ทอดมาจนเป็นสีน้ำตาลสวย อร่อยประทับใจ

ลำดับต่อมา จ้วงช้อนไปที่กระทงห่อหมกปลาช่อน โอย...นี่ก็ดีต่อใจ ตักขึ้นมา เห็นเนื้อปลาช่อนสีขาวอวบ น่ากินมาก โดยห่อหมกของที่นี่ รสชาติจะนวลๆ กลมกล่อม ไม่เผ็ดมากจนเกินไป และใส่ใบยอช่วยเพิ่มความหอมขึ้นไปอีกระดับ

ต้มยำขาหมู น้ำต้มยำนี่เปรี้ยวแซ่บถูกใจฉันมาก ซดแล้วคล่องคอยิ่งนัก ตัวเนื้อหมู อาจจะแข็งไปนิด คิดว่าคงเคี่ยวยังไม่ได้ที่ หมูเลยังไม่ค่อยเปื่อยพอเหมาะ แต่โดยรวมถือว่าถูกใจ

ปลาทูทอดเนื้อแน่น กินแล้วสะใจ หายอยาก สำหรับน้ำพริกมะม่วง แม่กับพ่อจ๋าบอกว่า รสชาติติดหวานไปนิดนึง ส่วนผัดสามเหม็น ฉันลองชิมไปนิดเดียวเท่านั้น เลยฟันธงไม่ได้ว่ารสชาติเป็นอย่างไร แต่พ่อจ๋ากับแม่ก็ดูจะชอบเมนูนี้อยู่นะ พ่อจ๋าบอกว่า ได้ไอเดีย จะลองกลับไปผัดกินเองที่บ้าน

สรุปว่าอาหารทุกอย่างที่พวกเราสั่งมา หมดเกลี้ยงโต๊ะ หากจะมีข้อติเพียงน้อยนิด ก็คงจะเป็นข้าวสวยที่ค่อนข้างแข็งไปสักหน่อย นอกนั้นดีเลิศ ประเสริฐศรี สั่งมากี่อย่าง ถูกใจไปซะทุกอย่าง

นี่แหละกองทัพต้องเดินด้วยท้องของจริง อิ่มท้องจากอาหารอร่อยกันแล้ว พ่อแม่ลูกก็เตรียมตัวออกเดินทางไปชมนิทรรศการกันต่ออย่างมั่นใจ ก็แหม...แวะเติมเสบียงเรียบร้อยแล้ว มันก็จะมีพลังในการรอคอยเข้าชมอย่างเต็มที่

ไปค่ะ ป้ายหน้าเจอกันที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติกันเลย

ป.ล. 1 อย่าลืมเลื่อนลงไปดูรูป เพื่อเพิ่มอรรถรสในการอ่านนะจ๊ะ

ป.ล. 2 ร้านกิมเล้งเปิดให้บริการ วันจันทร์-เสาร์ ตั้งแต่เวลา 10:00-20:00 (สำหรับเวลาปิด ไม่แน่ใจนักว่ายังคงปิดตอนสองทุ่มหรือไม่ ใครต้องการไปชิมอาหารที่ร้าน แนะนำว่าลองสอบถามกับทางร้านดูก่อนนะ)

ป้ายเมนูอาหารที่ตั้งอยู่หน้าร้าน

บรรยากาศภายในร้าน

หมูสับปลาเค็มทอด และ ห่อหมกปลาช่อน

ต้มยำขาหมู อร่อย แซ่บ

ผัดสามเหม็น

Source
ภาพประกอบ: My own collection

Comments