ลืมเล่าให้ฟังกันไปเลย เมื่อวันพุธที่ไปกินข้าวร้านกิมเล้ง แถวสี่แยกคอกวัว และต่อด้วยการชมนิทรรศการจิ๋นซีฮ่องเต้ ด้วยความที่ไม่อยากเจอรถติด พวกเราสามคน พ่อจ๋า แม่ และฉัน จึงตัดสินใจใช้วิธีเดินทางด้วยเรือโดยสาร
คืนก่อนเดินทาง ฉันมานั่งนึกว่าครั้งสุดท้ายที่ตัวเองใช้บริการเรือนั้น มันตอนไหนกันหนอ แต่ก็จำเวลาแน่นอนไม่ได้ ที่มั่นใจคือผ่านมาเกินห้าปี โอ...นี่ฉันจะต้องกลับไปขึ้น-ลงเรือ สัมผัสกับลมตีหน้ายามเรือแล่น ได้กลิ่นน้ำคลองอีกคราแล้วหรือ
พวกเราออกเดินทางในตอนเช้า นั่งรถสองแถวไปหน้าปากซอย ข้ามสะพานลอย จากนั้นก็มุ่งหน้าเข้าสู่ซอยที่เป็นท่าเรือ เห็นเพื่อนร่วมทางกำลังรออยู่ก่อนหน้าแล้วสี่ห้าคน มีทั้งคุณน้องนักศึกษา หนุ่มสาววัยทำงาน สักพักเรือก็แล่นมาจอดเทียบท่า
จากประสบการณ์ของตัวเองที่เคยนั่งเรือโดยสาร จำได้ว่าฉันจะใช้บริการแค่ช่วงเย็น ตอนนั่งจากที่ทำงานกลับบ้านเท่านั้น ในครั้งนี้ จึงเป็นการนั่งเรือในช่วงเช้าเป็นครั้งแรก แต่...ไม่ว่าจะช่วงเช้าหรือเย็น รอบไหนๆ เรือก็เต็มไปด้วยคน คน และคนอยู่ดี
แม่เป็นคนเดินลงเรือที่มีผู้คนอยู่เต็มลำเป็นคนแรก พ่อจ๋าคอยดูลาดเลา ส่วนฉันยังรีรอ ดูสภาพเรือที่คนแออัดยัดเยียดอยู่ตรงบริเวณทางขึ้น-ลงแล้ว เริ่มไม่แน่ใจว่า จะยังคงก้าวลงเรือไปได้อีกหรือไม่ อารมณ์ประมาณกำลังจะก้าวเข้าไปในขบวนรถไฟฟ้าที่คนแน่นจนเต็มประตู แม้จะเห็นว่าคนในขบวนรถ ดูไม่ค่อยเต็มใจจะแบ่งพื้นที่ยืนให้สักเท่าไหร่นัก แต่ยังไงก็ต้องก้าวเข้าไปอยู่ดี
หลังจากสอดส่ายสายตา เล็งหามุมเหมาะๆ ฉันจึงก้าวลงเรือ ไม่ได้เข้าไปไหนไกลเลย ก็ยังยืนอยู่บริเวณส่วนที่ขึ้น-ลงเรือนั่นแหละ บังเอิญว่าจุดที่ลงไปยืน มันยืนไม่ถนัด ฉันเลยตัดสินใจ เปลี่ยนไปยืนอีกด้าน และการเคลื่อนไหวแบบรวดเร็วนั้น ทำให้ฉันได้ยินพนักงานเก็บเงินทำเสียงจิ๊จ๊ะ รำคาญใจเล็กน้อย คาดว่าคุณพี่พนักงาน คงกลัวฉันพลาดตกเรือ โธ่! คุณพี่ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ แค่นี้สบายมาก ไร้ปัญหา (พี่บอกว่า ตรูไม่ได้ห่วง)
จากนั้นพ่อจ๋าจึงลงเรือตามมา โดยพ่อจ๋าต้องยืนอยู่ด้านนอกของตัวเรือ เพราะตอนนั้น ไม่มีที่ว่างให้ลงมายืนด้านในเรือ เห็นแบบนั้นแล้ว ฉันอยากไปยืนอยู่กับพ่อบ้าง เพราะในเรือซึ่งเต็มไปด้วยผู้คน ทำให้รู้สึกอึดอัด หายใจไม่ค่อยสะดวก ยืนอยู่ด้านนอก อย่างน้อยยังได้สูดอากาศได้เต็มที่หน่อย แต่สิ่งที่ทำให้ฉันลังเลใจ ไม่ใช่อะไรเลย เป็นเพราะพลังน้ำคลองอันเริงร่า ที่ (อาจจะ) กำลังรอเวลาสาดกระเซ็นมาโดนหน้าตา เนื้อตัวนั่นแหละ
จุดหมายปลายทางของพวกเรานั้น อยู่สุดเส้นทางการให้บริการเลย นั่นก็คือ สถานีผ่านฟ้าลีลาศ นั่นทำให้เมื่อเรือแล่นมาถึงสถานีท่าประตูน้ำ เราต้องไปต่อเรืออีกทอดหนึ่ง เพื่อเดินทางไปยังสะพานผ่านฟ้า
ในช่วงต่อเรือ จำนวนคนใช้บริการไม่ค่อยเยอะเท่ารอบแรกแล้ว เราสามคนจึงสามารถเลือกที่นั่งได้อย่างสบายอารมณ์ การเดินทางช่วงต่อเรือนี้ จึงอยู่ในโหมดนั่งเรือเล่นเย็นใจ ผิดกับรอบแรกที่ช่างฮาร์ดคอร์ซะเหลือเกิน
ขณะที่กำลังนั่งมองสภาพแวดล้อม ตึกรามบ้านช่อง และความเป็นอยู่ของผู้คนริมน้ำอย่างเพลิดเพลินเจริญใจอยู่นั้น มีเรือโดยสายอีกลำวิ่งสวนมา ซ่า! นั่นแหละจ้า รู้ตัวอีกที น้ำคลองแสนแสบก็กระเด็นมาโดนหัว ไหลลงมาตามเส้นผม ต่อมาเรื่อยไปยังซีกแก้มข้างหนึ่งเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โฮ...หนนี้ก็ไม่รอดเหมือนเคยสินะ
หันไปมองพ่อจ๋า เห็นพ่อกำลังควักผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดใบหน้าที่เปียก หันไปอีกทาง เจอแม่กำลังถอดแว่น เอากระดาษทิชชูมาซับน้ำคลองออก สรุปว่าได้ชุ่มฉ่ำ สดชื่นด้วยน้ำคลองกันไปอย่างถ้วนทั่ว
หลังจากเปียกได้ไม่นาน เรือก็แล่นมาจนถึงวังสระปทุม ซึ่งก่อนหน้าที่จะเข้าสู่เขตวังนั้น จะเห็นป้ายติดเตือนคนเดินเรือให้ชะลอความเร็วของเรือ และลดระดับเสียงลง โดยขณะที่เรือแล่นผ่าน ผู้โดยสารจะได้เห็นพื้นที่บางส่วนในเขตวังที่แวดล้อมไปด้วยต้นไม้ อีกทั้งยังได้เห็นบ้านเรือนโบราณอันสวยงามด้วย
ความรู้สึกยามได้เห็นภาพบ้านโบราณฉลุลายอ่อนช้อย งดงาม ราวกับได้ย้อนเวลาไปในอดีต ประกอบกับเรือที่ยังคงลดระดับความเร็วและระดับเสียงด้วยแล้ว ทำให้การนั่งเรือในช่วงนั้น เป็นไปด้วยความสงบและน่าประทับใจ (ข้ามเหตุการณ์โดนน้ำคลองสาดก่อนหน้านั้นไปซะ)
เมื่อถึงสถานีผ่านฟ้าลีลาศ พวกเราจึงก้าวออกจากเรือ เดินขึ้นสะพานผ่านฟ้า มุ่งหน้าไปยังถนนราชดำเนิน เส้นผมของฉันบางส่วน ยังคงชื้นจากน้ำคลองแสนแสบที่สาดกระเซ็นใส่ แต่ไม่เป็นไรหรอก แสงแดดที่สาดส่องในยามเช้า คงพอจะช่วยฆ่าเชื้อโรคจากน้ำคลองได้บ้างแหละ (มั้ง)
นับเป็นประสบการณ์การนั่งเรือที่มีสีสันอีกหนึ่งครั้งในชีวิต
ออกก้าวเดินต่อไปอย่างมั่นใจ เพราะหนทางข้างหน้านั้น ลอตเตอรี่หลายแผง กำลังรอฉันอยู่
อืม...ว่าแต่โดนน้ำคลองสาดในชีวิตจริง (ไม่ใช่ฝัน) มันต้องซื้อเบอร์ไหนกันล่ะ
Source
Comments
Post a Comment