เรื่องราวในวันนี้ ต้องบอกว่าต่อเนื่องมาจากเมื่อวาน ด้วยเหตุที่ฝนตกในช่วงเย็นวาน ทำให้ความตั้งใจที่จะออกไปกินข้าวนอกบ้าน ต้องปิ๋วไปโดยปริยาย เย็นวันนี้ เมื่อเห็นว่าท้องฟ้าค่อนข้างแจ่มใส เอาล่ะ ขอฉันออกไปดื่มด่ำบรรยากาศภายนอกหน่อยเหอะ
ระหว่างที่ฉันกำลังมุ่งหน้าไปยังตลาดติดแอร์ใกล้บ้าน มองไปหน้าปากซอย เห็นเจ้าหมาสีดำตัวหนึ่งมาแต่ไกล ตอนแรกคิดว่าเป็นน้องหมาของเพื่อนบ้านใกล้เคียง เมื่อเดินถึงปากซอย ได้เห็นเจ้าหมาชัดกว่าเดิม จึงได้รู้ว่าเป็นหมาไม่มีเจ้าของ จังหวะนั้น ฉันและเจ้าหมาบังเอิญสบตากันพอดี ในใจก็เริ่มกังวลหน่อยๆ ว่าหมาสีดำขลับตัวนี้จะพุ่งเข้ามาเห่าขู่ใส่ฉันมั้ยนะ
เดินไปก็เหล่มองกันไป สรุปว่าต่างคนต่างกลัวกันเอง ฝั่งเจ้าหมาดำ เมื่อเห็นมนุษย์แปลกหน้าเข้ามาใกล้ ก็ปลีกตัวเดินเข้าไปตรงซอกเล็กๆ ตรงด้านข้างรถคันหนึ่งที่จอดไว้แถวนั้น ส่วนฉันก็เดินชิดริมถนนอีกด้าน พร้อมกับเร่งฝีเท้าเพื่อจะข้ามถนนไปยังที่หมาย ยะฮู้! ดินเนอร์กำลังรอฉันอยู่
สั่งอาหาร เดินไปซื้อน้ำ จนกระทั่งอิ่มหนำสำราญใจ ฉันก็เดินกลับบ้าน พร้อมชานมไข่มุกที่เหลืออีกครึ่งแก้ว (ใช่ค่ะ ฉันกำลังเสพติดชานมไข่มุกขั้นรุนแรง) ตอนนั้นน่ะ ลืมเจ้าหมาดำตัวนั้นไปสนิทเลย นึกว่าป่านนี้น้องหมาคงเดินไปที่อื่นเรียบร้อยแล้วแน่ๆ
ทันทีที่ข้ามถนน เริ่มเดินเข้าซอยบ้าน ผ่านตรงปากซอย ณ จุดเดิมที่ฉันกับเจ้าหมาต่างเลี่ยงหลบซึ่งกันและกัน กำลังจะเดินผ่านรถคันเดิมที่เจ้าหมาใช้เป็นที่กำบังตัวก่อนหน้านั้น ฉันจึงได้เห็นว่าหมาดำตัวนั้นยังนั่งซุกตัวอยู่ด้านข้างรถเช่นเดิม
เมื่อเดินผ่านเจ้าหมามาได้สักพัก รู้สึกหน่วงในใจ ชานมที่ก้มลงดูด ทำไมมันไม่อร่อยเหมือนเดิมกันนะ ฉันสงสารเจ้าหมาตัวนั้นเหลือเกิน สังเกตจากที่น้องหมาไม่มีปลอกคอ คาดว่าคงเป็นหมาจรจัด ไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าเป็นหมาต่างถิ่นที่พลัดหลงมาจากที่อื่นหรือไม่ เนื่องจากละแวกบ้านฉันนั้น ไม่ค่อยจะมีหมาจรให้พบเห็นนัก
เย็นแล้ว พระอาทิตย์กำลังจะโบกมืออำลา ถนนหนทางก็เริ่มสลัวลงทุกที เจ้าหมาดำตัวนั้นคงไม่มีที่ไป ไม่มีบ้านจะให้กลับไปซุกตัวนอนอย่างอบอุ่น ไม่มีเจ้าของมาเรียกกลับบ้าน ฉันคิดต่อไปอีกว่า หากเจ้าของรถคันนั้นกลับมา และขับรถที่เจ้าหมาดำใช้เป็นที่กำบังตัวจากสายฝนที่อาจจะตกลงมาเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ออกไปจากตรงนั้น แล้วคืนนี้เจ้าหมาที่น่าสงสารจะไปอาศัยที่ไหนหลบฝนกันหนอ
นึกถึงยามที่สบตาสีน้ำตาลเข้มของเจ้าหมาดำ ในแววตานั้น ฉันสัมผัสได้ถึงความระแวดระวังอย่างเต็มเปี่ยม เหมือนกับเจ้าหมาต้องคอยปกป้องตัวเองจากภยันตรายต่างๆ ทั้งจากธรรมชาติและมนุษย์แปลกหน้า
ในระหว่างทางกลับบ้าน ฉันอดคิดไม่ได้ว่า หากเป็นตัวฉันเองที่ไม่มีที่จะให้กลับไปพักพิงในยามที่ตัวเองอ่อนล้า เพลีย หมดแรง และ (อาจจะ) กำลังหิวโหยด้วย จะทำอย่างไรกัน เพียงแค่คิด ความหน่วงก็มาเยือนในใจอีกรอบ
เมื่อฉันเดินถึงบ้าน สิ่งแรกที่ทำ นั่นก็คือ สอดส่ายสายตามองหาเจ้าลูกรักที่คงจะกำลังนอนสบายอยู่ ณ มุมใดมุมหนึ่ง ทันทีที่เห็นว่าเจ้าตัวแสบนอนแผ่อยู่กลางบ้าน คงเฝ้ารอเวลาให้สมาชิกคนใดคนหนึ่งในบ้านกลับมาเล่นด้วยกันซะที ฉันจึงรีบเข้าไปกอดลูกรัก พร้อมกับบอกว่าหนูน่ะโชคดีกว่าหมาอีกหลายตัวนะลูก
เจ้าลูกรักของฉันคงไม่เข้าใจหรอก อาจจะงงด้วยซ้ำที่แม่มันมาพูดอะไรกรอกหูอยู่นั่น แต่การได้พบเจ้าหมาดำตัวนั้น ทำให้ฉันตระหนักได้ว่าตัวฉันช่างโชคดีที่มีบ้านให้กลับไปพักพิง มีคนในครอบครัวเป็นพลังใจทั้งในยามทุกข์และยามสุข
ในชีวิตของเรานั้น เพียงแค่การมีที่ให้กลับ และยังมีคนเฝ้ารอการกลับมาของเรา นั่นก็เป็นสิ่งวิเศษมากแล้ว อย่าได้มองข้ามสิ่งเล็กน้อยที่ดูธรรมดาสามัญเช่นนี้ล่ะ
เฮ้อ! นี่ไม่ได้ตั้งใจจะเศร้าเลยนะเนี่ย นั่งพิมพ์มาจนถึงตรงนี้ ทำไมถึงน้ำหูน้ำตาไหล พร้อมอาการคัดจมูกจากการสูดน้ำมูกล่ะ
ยังไงก็ขอให้ทุกคนมีความสุขกับวันศุกร์ รักบ้านของคุณให้มาก เพราะคุณยังโชคดีกว่าใครอีกหลายคนและสัตว์อีกหลายตัวบนโลกใบนี้
ป.ล. นั่งเขียนเรื่องนี้ ทำให้นึกถึงเพลง Home ขึ้นมาเลย ชอบทั้งเวอร์ชันอบอุ่นจากธีร์ ไชยเดช และแบบซาบซึ้งจากปั่น ไพบูลย์เกียรติ เขียวแก้ว
Source
ภาพประกอบ: Photo by Daniel Frank from Pexels
Comments
Post a Comment