หลายปีมาแล้ว ฉันได้ดูโฆษณาทางโทรทัศน์ชิ้นหนึ่ง เพียงแค่ดูครั้งแรกก็ขำกลิ้ง นั่งหัวเราะอยู่หน้าจอไปกับเรื่องราวและหน้าตาท่าทางของตัวละครจากงานโฆษณาชิ้นนั้น เรียกว่าขึ้นแท่นโฆษณาอันดับหนึ่งในดวงใจฉันไปเลย
เรื่องมันเริ่มต้นมาจาก ชายหนุ่มพนักงานออฟฟิศผู้หนึ่ง กำลังวิ่งหน้าตั้ง หลบหลีกคนที่เดินสวน เพื่อมุ่งหน้าไปยังร้านสะดวกซื้อที่อยู่ใกล้ที่สุด ทันทีที่ย่างเท้าเข้าไปภายในร้าน เขาก็ไปยืนหน้าเคาน์เตอร์จ่ายเงิน พร้อมแจ้งความประสงค์กับเจ้าของร้านว่าต้องการซื้อกระดาษทิชชูหนึ่งห่อ
เป็นไง เริ่มคุ้นกันบ้างมั้ย จากนั้นเจ้าของร้านที่เป็นอาม่าสูงวัย จึงได้บอกราคาของกระดาษทิชชูหนึ่งห่อที่ลูกค้าต้องการว่า 5 บาท จะเป็นเพราะฟ้าไม่เมตตาหรือความบังเอิญก็ไม่ทราบได้ หนุ่มออฟฟิศผู้นั้น ไม่มีเหรียญติดตัวเลย ทำให้เขาต้องยื่นธนบัตรมูลค่าหนึ่งพันบาทให้กับอาม่า
เมื่ออาม่ารับเงินหนึ่งพันบาทจากมือลูกค้าแล้ว แกก็เอ่ยปากถามถึงจำนวนเงินทอนกับหนุ่มออฟฟิศ ราวกับแกกำลังทดสอบความถนัดทางวิชาคณิตศาสตร์ของชายหนุ่ม ผู้ซึ่งกำลังปวดท้องอย่างหนัก ข้าศึกจ่อประชิดเข้ามาทุกขณะ จวนเจียนจะถล่มกำแพงเมืองอยู่รอมร่อ
ระหว่างรอเงินทอนจำนวน 995 บาทจากอาม่า ผู้ทำทุกอย่างในโหมด slow life ด้วยความทรมานบั้นท้ายอยู่นั้น สีหน้าของหนุ่มออฟฟิศดูบิดเบี้ยวมากขึ้นทุกขณะ ธรรมชาติกำลังเรียกร้องอย่างรุนแรง จนเขาตัดสินใจยื่นมือเข้าช่วยอาม่า สวมบทบาทเป็นพนักงานคิดเงินด้วยสปีดนรก
ฉันว่าก่อนหน้านี้ ชายหนุ่มผู้นี้ต้องเคยทำงานเป็นพนักงานคิดเงินมาก่อนแหงๆ ก็ดูท่าทางการกดแป้นคิดเงินอย่างคล่องแคล่วนั่นเสะ ขนาดยืนกดจากฝั่งตรงข้ามยังมีความ Fast & Furious เล่นเอามองตามแทบไม่ทัน เรียกว่ากดแบบกลับหัวกลับหางก็ไม่มีอาการชะงักให้เห็น นี่แหละหนอ พลังอำนาจแห่งคิ
เหมือนฟ้ากลั่นแกล้ง ทั้งที่กดคล่องออกปานนั้น แต่เครื่องคิดเงินก็ยังคงไม่เปิด วินาทีถัดมา อาม่าที่ยังถือเงินหนึ่งพันบาทอยู่ในมือ ได้เงยหน้าขึ้นมาสบตาหนุ่มออฟฟิศอย่างงุนงง พร้อมกับพูดว่า “ไม่ออก”
OMG! ณ จุดนั้น ฉันอยากตะโกนบอกคนทั้งคู่ว่า หยุดก่อนดีกว่ามั้ย พักแป๊บ แล้วไปเข้าห้องน้ำก่อนเหอะ คนดูถึงกับออกอาการเครียดแทนเลยเนี่ย
หลังจากนั้น หนุ่มออฟฟิศก็ยื่นมือกดลงตรงแป้นเครื่องคิดเงินอีกครั้ง คราวนี้เครื่องคิดเงินเปิดออกแล้ว แต่...ฮือๆ อาม่าดันลืมว่าต้องทอนเงินเท่าไหร่ เลยหันมาถามชายหนุ่มอีกครั้ง โอย...ทำไมมันกดดันเยี่ยงนี้ฟระ ข้าศึกก็จ่อประชิด อารมณ์แบบตรูปวดคิว้อย แต่ตังค์ทอนนั่นมันตั้ง 995 บาทเชียวนะ จะตัดใจทิ้งไปก็เสียดายไง
เรื่องราวต่อจากนั้นเป็นอย่างไร ใครที่เคยดูโฆษณาตัวนี้ คงจำกันได้เป็นอย่างดี ไม่ต้องพูดอะไรมากล่ะนะ ฮาอย่างแรง นี่เป็นโฆษณาบัตรเงินสดยี่ห้อหนึ่ง เป็นโฆษณาที่ทำให้ทั้งอาม่าและหนุ่มออฟฟิศโด่งดังขึ้นมาทันที
ฉันเพิ่งมารู้ในภายหลังว่าชายผู้รับบทเป็นหนุ่มออฟฟิศ มีชื่อว่า บ็อบบี้ นิมิตร ลักษมีพงศ์ หรือที่สายฟังเพลงรู้จักกันดีในนาม “บ็อบบี้โบเต๋” เขาทำงานเป็นนักจัดรายการวิทยุมาแล้วหลายคลื่น นอกจากผลงานโฆษณาสร้างชื่อชิ้นนี้แล้ว เขายังมีผลงานละคร ภาพยนตร์ รวมไปถึงงานพากย์ด้วย
งานโฆษณาชุดอาม่ากับทิชชูที่สร้างเสียงหัวเราะและรอยยิ้มในหมู่ผู้รับชมชิ้นนี้ เป็นผลงานของ คุณต่อ ธนญชัย ศรศรีวิชัย ผู้กำกับโฆษณามือทอง เจ้าของรางวัล Cannes Lion หลายปีติดกัน ซึ่งรางวัลที่ว่า เป็นรางวัลด้านโฆษณาระดับโลกเลยเชียวนะ ขอปรบมือให้คุณต่อดังๆ อย่างชื่นชม
ภาพยนตร์โฆษณาชิ้นไหนได้คุณต่อเป็นผู้กำกับ รับรองว่าจะเป็นโฆษณาที่สามารถดึงดูดความสนใจจากผู้ขมได้เป็นอย่างดี บอกเพิ่มอีกนิด เสียงบรรยายในตอนท้ายของโฆษณาอาม่ากับกระดาษทิชชูนั่นน่ะ เป็นเสียงของคุณต่อเอง มันจะมีความโมโนโทนที่แฝงอารมณ์กวนๆ อยู่ในน้ำเสียง ซึ่งได้กลายมาเป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งจากผลงานโฆษณาฝีมือคุณต่อ
แม้จะผ่านมาหลายปีแล้ว ฉันยังคงจดจำโฆษณาชิ้นนี้ได้แม่น นึกถึงขึ้นมาทีไร จะต้องนั่งขำเสมอ เป็นการนำเสนอเรื่องราวที่พวกเราสามารถพบเห็นในชีวิตประจำวันได้อย่างน่าประทับใจ
ดูแล้วสนุกสนาน เฮฮา เอิ่ม...แต่เหตุการณ์แบบในโฆษณาน่ะ ขอเป็นเพียงผู้ดูเท่านั้นนะ ไม่ต้องการเป็นแบบหนุ่มออฟฟิศคนนั้นเลย โฆษณาจบ รีบวิ่งไปพกทิชชูใส่กระเป๋าอย่างด่วนเลยจ้า
Source
ภาพประกอบ: Photo by Steve Johnson from Pexels
Comments
Post a Comment