ชีวิตวัยเรียนของเด็กผู้หญิงแทบทุกคน น่าจะเคยผ่านช่วงเวลาที่ต้องยืนเรียงแถวเป็นระเบียบ เพื่อให้คุณครูประจำชั้นทำการตรวจตรา สอดส่องสภาพหนังศีรษะกันมาบ้าง
เชื่อว่านี่คือกิจกรรมที่คุณครู (จำเป็นต้อง) ทำในเกือบทุกภาคเรียนเลยล่ะ ราวกับเป็นธรรมเนียมปฏิบัติ เป็นหนึ่งในภารกิจที่ไม่อาจละเลย ใช่ค่ะ เรากำลังพูดถึงการตรวจหาเหาบนหัวเด็กนักเรียนไงล่ะ
เหา เป็นสิ่งมีชีวิตลี้ลับขนาดเล็กที่ดูจะชอบ hang out กับเด็กๆ เป็นพิเศษ ขึ้นชื่อว่าเด็กแล้ว ความสังเกตสังกาในความเป็นไปรอบตัว คงไม่อาจละเอียดได้เท่ากับผู้ใหญ่ ทำให้ไม่สามารถระบุได้ว่า เหามายังไง มาจากไหน มาเมื่อไหร่
กว่าจะรู้ตัวว่าเหาบุก ก็เมื่อเด็กคนนั้นมีอาการคันหัว จนต้องเกายิกๆ เมื่อถึงเวลานั้น ความโกลาหลย่อมๆ ก็ได้มาเยือนคุณครู จำเป็นต้องเริ่มปฏิบัติการแหวกผมหาเหา เพื่อหาทางกำจัดเจ้าเหาตัวแสบอย่างเร่งด่วน ก่อนที่มันจะแพร่กระจายไปติดนักเรียนหญิงคนอื่นในชั้นเรียน
เมื่อครั้งอยู่ชั้นอนุบาล ฉันก็เคยเป็นหนึ่งในเด็กที่เจ้าเหาทำการเลือกแล้วว่าจะสุงสิงด้วย (ควรดีใจมั้ยนี่) ในช่วงสายวันหนึ่งที่โรงเรียน เมื่อครูแหวกผมบนหัวของฉัน โป๊ะเชะ! เจอไข่เหาที่เจ้าเหาทิ้งไว้เป็นที่ระลึก
ตอนนั้นยังพอจำได้ว่า ฉันโดนแยกตัวออกมาจากเพื่อนร่วมห้องโดยพลัน จากนั้นครูสองคนก็เข้ามาจูงมือฉันไปด้านหลังโรงเรียน จัดการอาบน้ำ สระผมให้ใหม่ ไม่แน่ใจว่าครูใช้อะไรสระผมให้ แต่เป็นแชมพูที่กลิ่นประหลาดมาก ลำดับต่อไป ครูก็ชโลมน้ำยาลึกลับลงมาบนหัวฉันจนชุ่มไปเลย
อาบน้ำเสร็จ แต่กลับไปใส่ชุดนักเรียนไม่ได้แล้ว เนื่องจากครูคงกลัวว่าอาจจะยังมีตัวเหาและไข่เหาติดอยู่ตามเสื้อผ้าตัวเดิมของฉันล่ะมั้ง ครูเลยนำเสื้อผ้าของลูกครูมาใส่ให้แทน (ลูกครูก็เรียนที่โรงเรียนนี้ไง ครูอาจพกเสื้อผ้าลูกติดไว้ เพื่อเปลี่ยนให้ลูกก็เป็นได้)
ต้องบอกว่าเสื้อผ้าของลูกครูน่ะ มันไม่ใช่แนวฉันเลย (ยังจะเรื่องมากอีกนะแก มีอะไรก็ใส่ๆ ไปเหอะน่า อย่าเยอะ) ตอนนั้นเป็นเด็กรักสวยรักงามไง คิดไปเองว่าเสื้อยืดสีขาว พร้อมกางเกงขาสั้นผ้าลูกฟูกสีน้ำตาล มันดูไม่สวย ไม่โนเนะเหมือนชุดกระโปรงสีชมพูแบบที่ตัวเองชอบ (น่าหมั่นไส้มาก ขอเบะปาก กลอกตา มองบนแพร้บ)
อย่างไรก็ตาม ความพีคขั้นสุด ไม่ได้อยู่ที่เสื้อผ้าหลุดธีม แต่เป็นเพราะเจ้าถุงพลาสติกที่ครูนำมาคลุมเอาไว้บนหัวของฉันที่ยังคงเปียกชุ่มไปด้วยน้ำยาแก้เหาสูตรเด็ดของครูนั่นไง (คือมันต้องหมักน้ำยาเอาไว้บนหัวสักระยะหนึ่ง ถึงจะล้างออกได้)
น้ำก็อาบใหม่แล้ว ผมก็หมักเรียบร้อย หัวก็คลุมไว้แล้ว ถึงเวลากลับไปนั่งเรียนในห้องตามเดิม โอ้! แม่เจ้า ฉันนี่แทบไม่อยากจะก้าวขาออกเดิน ก็คิดดูสิ ใครเล่าจะอยากกลับไปเผชิญหน้ากับเพื่อนร่วมห้องในสภาพเครื่องแต่งกายบอยๆ ไร้ซึ่งความหวานแหววใดๆ ทั้งปวง
นี่ยังไม่นับถุงพลาสติกคลุมหัว ราวกับตัวเองได้กลายเป็นสิ่งมีชีวิตต่างสายพันธุ์ที่มาจากนอกโลกไปแล้ว ทำไมฟ้าถึงได้โหดร้ายกับเด็กอนุบาลสุดน่ารักอย่างฉันขนาดนี้กันหนอ
แต่ก็นั่นล่ะนะ ถึงไม่อยากกลับเข้าห้องเรียนขนาดไหน ก็โดนครูจูงมือไปจนได้ สรุปว่าวันนั้น ฉันก็นั่งเรียนในสภาพมนุษย์ต่างดาวที่มีพลังพิเศษ ขยับหัวแต่ละที จะมีเสียงดังก๊อบแก๊บ ก๊อบแก๊บให้ได้ยินเป็นระยะ (โฮ...ขอสงสารตัวเองย้อนหลังได้มะ) กว่าจะถูกนำตัวไปล้างหัวอีกครั้ง หนังหน้าคงเริ่มหนาขึ้น จนมัน beyond จุดที่รู้สึกอับอายไปแล้ว (ฮือๆ น้ำตาไหลพรากด้วยความยินดี)
ก่อนจะกลับบ้าน คาดว่าครูคงติดต่อแม่ เพื่อแจ้งให้ทราบเกี่ยวกับสถานการณ์เหาๆ บนหัวฉัน อุตส่าห์รอดพ้นจากประสบการณ์ลืมไม่ลงที่โรงเรียน เย็นวันนั้น ฉันยังต้องทำความรู้จักกับหวีเสนียดอีก โอย...หวีบ้าอะไรกันเนี่ย ทำไมมันต้องมีซี่ถี่ติดๆ กันขนาดนั้นด้วยนะ
ตอนที่แม่กับน้ายืนขนาบข้าง ช่วยกันสางผมฉันด้วยหวีเสนียดอย่างขะมักเขม้น ฉันก็ได้แต่สูดปากด้วยความเจ็บหนังหัว ระหว่างที่นึกเคืองหวีเสนียดอยู่นั้น ฉันได้ยินน้าบอกว่าเจ้าเหาตัวร้ายไม่น่าจะอยู่บนหัวแล้ว จะเหลือก็แต่ไข่เหาที่ต้องสางออกไปให้หมด
จนทุกวันนี้ ฉันก็ยังไม่รู้ว่าตัวเองไปติดเหาจากใครมา ถ้าให้เดา ก็คงไม่พ้นเพื่อนนักเรียนด้วยกันนั่นแหละ แต่ที่ยังคาใจอยู่ก็ตรงที่ว่าทำไมวันนั้น ฉันถึงโดนดึงตัวไปสระผม คลุมหัวเป็นมนุษย์ต่างดาวก๊อบแก๊บอยู่คนเดียวกันนะ แล้วต้นตำรับเหาไปอยู่ซะที่ไหน
นับเป็นประสบการณ์เหาๆ ที่ยากจะลืมเลือน
คติสอนใจที่ฉันได้จากเหตุการณ์ในครั้งนั้น คือ อยากโดดเด่น ลองเป็นเหาดูเซ่
Source
Comments
Post a Comment