คุณมีช่างตัดผมเจ้าประจำกันไหม เชื่อว่าหลายคนน่าจะมี สำหรับฉัน มันก็จะก้ำกึ่งกันอยู่ระหว่างมีกับไม่มี เอ๊ะ...ยังไงกัน อย่าคลุมเครือเซ่ จะเอาไงก็พูดให้ชัดเจน มาแนวนี้ คนอ่านงงนะเฟร้ย
อันที่จริง ต้องพูดว่าแม่ของฉันน่ะ มีช่างตัดผมเจ้าประจำถึงจะถูก จากนี้ไป ฉันจะขอเอ่ยถึงคุณพี่ช่างตัดผมผู้นี้ว่า พี่เอ็ม (นี่เป็นนามสมมติ พี่เค้าไม่ได้ชื่อนี้แต่อย่างใดนะจ๊ะ)
ฉันไม่แน่ใจว่าแม่รู้จักพี่เอ็มมาจากใคร แต่คาดว่าน่าจะเป็นคนรู้จักสักคนนั่นแหละที่แนะนำมา หลังจากนั้นแม่ก็กลายเป็นลูกค้าประจำของพี่เอ็มนับแต่นั้นเป็นต้นมา และยังได้พาลูกน้อยหอยสังข์ทั้งสองคน ติดสอยห้อยตามมาเป็นลูกค้าวัยเยาว์ของพี่เอ็มอีกด้วย
ครั้งหนึ่งที่แม่พาฉันไปตัดผมกับพี่เอ็ม ด้วยความเยอะผสมกับความรักสวยรักงามตั้งแต่เด็กของฉัน (แบบมโนว่าตัวเองสวยไง) ทำให้เมื่อเห็นเงาสะท้อนของตัวเองที่หน้ากระจกกับผมทรงใหม่ที่ไม่ถูกใจ ฉันจึงออกอาการเหวี่ยง ร้องห่มร้องไห้ เริ่มโหยหวนและน้ำตาไหลเป็นเผาเต่า พร้อมกับบ่นไปด้วยว่า “ผมสั้น ไม่สวย”
เหตุการณ์น่าอายในครั้งนั้น ตัวฉันน่ะจำไม่ค่อยจะได้แล้ว แต่คงทำให้พี่เอ็มรู้สึกเข็ดขยาดกับปีศาจจิ๋วอย่างฉันไปเลย เมื่อโตมา เวลาแวะไปตัดผมที่ร้านพี่เอ็มเมื่อไหร่ ฉันสังเกตได้ว่าพี่เค้าจะมีอาการกล้าๆ กลัวๆ กับการตัดผมให้ฉัน นั่นเพราะแกคงหวาดระแวงไปแล้วว่าลูกค้าคนนี้ อาจบ้าบอ ระเบิดเสียงร้องไห้ขึ้นมาอีกเมื่อไหร่ก็ได้
อย่างไรก็ตาม แม้จะขยาดกับลูกค้าเหวี่ยงอย่างฉันเพียงใด พี่เอ็มก็ยังคงรั้งตำแหน่งช่างตัดผมประจำตัวฉันเป็นเวลานานทีเดียว ตั้งแต่สมัยประถม เข้าสู่วัยมัธยม ต่อเนื่องไปเรื่อยจนฉันเข้ามหาวิทยาลัย
พี่เอ็มคนเดิมคนนี้ ยังเป็นคนแต่งหน้า ทำผมสำหรับถ่ายรูปก่อนรับปริญญาให้ฉันอีกด้วย ฝีมือการแต่งหน้าของพี่เค้า นับว่าถูกใจฉันมาก และแม่ยังได้จ้างให้พี่เอ็มช่วยแต่งหน้าให้ฉันในวันซ้อมใหญ่รับปริญญา รวมไปถึงวันรับจริงด้วยเลย
อนิจจา ก่อนวันซ้อมใหญ่ พี่เอ็มไปออกกำลังกายและได้รับบาดเจ็บที่แขน ทำให้แขนข้างขวาใช้การไม่ได้ชั่วคราว จนทุกวันนี้ ฉันยังจดจำความรู้สึกยามเห็นพี่เอ็มมาเปิดประตูร้านต้อนรับฉันและแม่ในเช้ามืดวันซ้อมใหญ่ได้อยู่เลย มันก็จะมีความช็อกมากๆ ปนเปไปกับความตื่นตระหนกเยอะๆ ตายละวา! แล้วแบบนี้หน้า ผมของตรู ใครจะเป็นคนเนรมิตให้สวยได้ดังใจกันล่ะ
โชคดีที่พี่เอ็มหาช่างมาช่วยทำหน้าที่นี้แทน ทำให้ความวุ่นวาย โกลาหลทั้งหลายที่ฉันคาดไว้ในใจ ได้มลายหายไป แต่ก็นั่นแหละนะ อย่างไรฉันยังคงรู้สึกอยู่ลึกๆ ว่า ช่างคนไหนก็คงรู้ใจฉันไม่เท่ากับพี่เอ็ม
จากงานรับปริญญา เข้าสู่วัยทำงานเป็นสาวออฟฟิศ ฉันก็ยังคงเป็นลูกค้าของพี่เอ็ม หลายครั้งที่ได้ทรงผมถูกใจกลับบ้าน โดยเฉพาะผมบ๊อบบวกหน้าม้า ฝีมือพี่เอ็มนี่เนี้ยบ กินขาดช่างทุกคนจริงๆ
เวลาผ่านไปอีกไม่นาน ฉันก็เดินทางไปเรียนต่อ ช่วงเวลานั้น ฉันเข้าร้านทำผมรวมกันแล้วไม่เกินห้าครั้ง สาเหตุมาจากเสียดายตังค์ อาหารก็แพง เครื่องดื่มก็ยังแพง ทุกอย่างในชีวิตตอนนั้นล้วนแพง แพง และแพง
ดังนั้น การเดินเข้าร้านทำผม จึงเป็นสิ่งที่ฉันลงความเห็นว่า เป็นความฟุ่มเฟือยในชีวิต ส่วนใหญ่ฉันจึงทำการตัดผมด้วยตัวเอง (อย่าเพิ่งคิดไกล นั่นเป็นแค่การเล็มผมหน้าม้าเท่านั้นแหละ) และลงท้ายด้วยการได้ผมม้าแบบเอียงๆ สั้นบ้าง ยาวบ้าง ไม่สวยเนี้ยบกริบเหมือนฝีมือพี่เอ็ม ช่วงนั้นฉันคิดถึงพี่เอ็มมาก ฮือๆ ต้องทนอยู่กับความผมเบี้ยวแบบไม่เต็มใจเอาซะเลย
หลังจากเรียนจบ กลับคืนบ้านเกิด หนึ่งในสิ่งแรกๆ ที่ฉันทำ คือการปรี่ไปซบฝีมือกรรไกรพี่เอ็ม แหม...ก็ทนอยู่กับความบิดเบี้ยวมานานแล้วนี่ ขอมีชีวิตหรูหรา ผมเนี้ยบเรียบกริบเหมือนเดิมทีเถอะ
เวลาก็ได้ผ่านไปอีก จนถึงช่วงที่พี่เอ็มย้ายทำเลร้าน จากตึกแถวของพี่เอ็มเองที่เปิดเป็นร้านทำผมด้านล่างและเป็นที่พักอาศัยด้านบน ซึ่งตั้งอยู่บนถนนสายเดียวกันกับบ้านฉัน ไปเช่าทำร้านที่ซอยสุขุมวิท 39 ช่วงเวลานั้น ฉันกับน้าก็ยังคงตามไปเป็นลูกค้า ส่วนแม่ของฉัน ท่านว่าขี้เกียจเดินทาง เลยจำเป็นต้องหาร้านทำผมถูกใจร้านใหม่ไปโดยปริยาย
ด้วยทำเลร้านใหม่นี้ ทำให้ฉันและน้าได้ค้นพบร้านย่งหลีเข้าโดยบังเอิญนั่นไง (เคยเขียนถึงย่งหลีไปแล้ว ไปตามหาอ่านกันได้นะ) ความที่ร้านตั้งอยู่บนถนนสุขุมวิท ค่าเช่าร้านก็เลยแพงหูฉี่ นั่นทำให้พี่เอ็มต้องปรับราคาค่าบริการสูงขึ้น โดยเปลี่ยนมาใช้ผลิตภัณฑ์สำหรับเส้นผมที่มีคุณภาพมากยิ่งขึ้นไปด้วย
เช่าร้านใหม่ได้สักพัก คาดว่ารายได้ที่ได้รับอาจไม่คุ้มกับค่าเช่าที่ต้องจ่ายไป พี่เอ็มจึงตัดสินใจกลับมาเปิดให้บริการที่ร้านเก่าดังเดิม และแม่ฉันก็ได้ช่างตัดผมเจ้าประจำคืนกลับมา
ปัจจุบันนี้ พี่เอ็มทำการขายร้านดั้งเดิม และย้ายไปอยู่หัวหินเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ได้ยินจากแม่ว่าแกจะเข้ากรุงเทพมาตัดผม ให้บริการลูกค้าที่ห้างใกล้บ้านฉันอาทิตย์ละครั้งมั้ง พูดแล้วก็คิดถึงแกเหมือนกันนะ
ฉันว่าอาชีพช่างตัดผม เป็นหนึ่งในอาชีพที่นอกจากจะต้องหมั่นพัฒนา ฝึกปรือฝีมือของตัวเองแล้ว ยังต้องอาศัยการสร้างรากฐาน บ่มเพาะความสัมพันธ์อันดีกับลูกค้า จนเกิดเป็นความไว้เนื้อเชื่อใจในฝีมือ (กรรไกร) ของช่างอีกด้วย
ยิ่งนานวันเข้า ลูกค้าก็แทบไม่จำเป็นต้องเอ่ยปาก เพียงมองตา ช่างผมประจำตัวก็สามารถรู้ใจ ก่อเกิดเป็นความผูกพันอันแน่นแฟ้น แบบที่ยากจะหาช่างคนไหนมาเทียบเคียงได้ (พูดแบบนี้ อาจดูเหมือนเกินจริง แต่เชื่อเถอะ หากคุณเกิดติดใจฝีมือช่างผมคนไหนแล้ว คุณจะเข้าใจความรู้สึกที่ว่านี้เป็นอย่างดี)
ในวันที่ผมของฉันอยู่ในระดับยาวประบ่า เริ่มจะไม่เข้ารูปเข้ารอย และห่างหายจากคมกรรไกรของพี่เอ็มมานาน มันก็จะรู้สึกเคว้งคว้างทางเส้นผมนิดๆ การจะได้เจอช่างผมที่ถูกใจคนใหม่ ใช่ว่าจะบังเอิญพบได้ง่ายๆ เฮ้อ...รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังต้องเสี่ยงโชคอย่างไรอย่างนั้น
อารมณ์ประมาณเจอช่างดี ก็ดีไป เจอช่างตัดออกมาไม่ตรงใจ ก็คงต้องแบกรับความผิดหวังและทรงผมไม่ถูกใจกลับบ้านไปแบบหงอยๆ สินะ
Source
Comments
Post a Comment