ฉันมีญาติที่อาศัยอยู่จังหวัดภูเก็ต ทุกครั้งเวลาญาติขึ้นกรุงเทพมาเยี่ยมเยียนพี่น้อง เป็นต้องหอบหิ้วของฝากจากเมืองภูเก็ตมาให้เสมอ หนึ่งในของฝากที่พี่น้องทางกรุงเทพได้รับอย่างต่อเนื่องจากญาติผู้นี้ก็คือหมี่สั่ว
หมี่สั่ว คือ หมี่เส้นเล็กขาวนวลที่ทำจากแป้งข้าวเจ้า (บางครั้งได้ยินคนอื่นเรียกว่าหมี่ซั่วก็มี) โดยความพิเศษของหมี่ชนิดนี้อยู่ที่ความเค็มในตัวเส้น เนื่องจากมีการผสมเกลือเข้าไปในกรรมวิธีการผลิตเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
เวลานำหมี่สั่วมาประกอบอาหาร ฉันจึงต้องคอยเตือนตัวเองว่าเส้นหมี่มันมีความเค็มอยู่บ้างแล้วนะ อย่าได้เผลอมือหนักใส่เกลือ ซีอิ๊วขาว น้ำปลาหรือเครื่องปรุงอื่นใดมากจนเกินไป ไม่งั้นทะเลคงเรียกพี่กันเลยทีเดียวเชียว
ฉันไม่แน่ใจว่าที่ภูเก็ตมีหมี่สั่วขายกี่ยี่ห้อ อันไหนดัง เจ้าไหนรสชาติเด็ดกันบ้าง แต่หมี่สั่วที่ญาตินำมาเป็นของฝาก ได้แก่ หมี่สั่วตรานกนางแอ่น โดยฉลากด้านหน้าซองมีภาษาอังกฤษกำกับเอาไว้ด้วยว่า Gay Seng Bhuket และหมี่สั่วยี่ห้อนกนางแอ่นนี่แหละที่ฉันกินมาตั้งแต่ยังเด็ก
บางคนนิยมนำเส้นหมี่สั่วมาผัดกิน แต่สำหรับฉัน ชอบที่จะต้มกิน มันจะได้อารมณ์ผสมกัน ระหว่างความแกงจืดผสมความมาม่า วิธีการปรุงก็ง่ายแสนง่าย ไม่ซับซ้อน ยุ่งยากแต่อย่างใด
เพียงแค่มีน้ำซุป จัดการตั้งน้ำแล้วรอให้น้ำซุปเดือดได้ที่ก็แกะซองหมี่สั่ว เทเส้นหมี่ลงไปในหม้อน้ำซุปที่กำลังเดือดปุดๆ รอสักพักให้เส้นเริ่มเปื่อย จากนั้นก็ตอกไข่ใส่ลงไปตามความชอบ สูตรของฉันจะใส่ไข่ไก่สองฟอง
ต่อมาก็ใช้ทัพพีคนไข่ให้แตกตัวเล็กน้อย กะให้ได้เคี้ยวทั้งไข่แดงและไข่ขาว ไม่ต้องคนไข่ให้เนื้อละเอียดมากนัก แล้วรอเวลาให้เดือดอีกครั้ง เป็นอันเสร็จพิธี อ้อ! ย้ำว่าอย่าเพิ่งเติมเครื่องปรุงรสอย่างพวกเกลือหรือซีอิ๊วลงไปเพิ่มนะ ใช้ช้อนตักชิมดูให้แน่ใจก่อนว่าเมื่อเส้นหมี่สั่วผสมกับน้ำซุปและไข่ มันเค็มได้ที่แล้วหรือยัง ถ้าต้องการรสชาติเค็มขึ้นอีก ค่อยใส่เครื่องปรุงเพิ่ม ใครชอบรสจัดก็เหยาะพริกไทยเพิ่มรสชาติ
ฉันชอบกินหมี่สั่ว เพราะเมื่อนำมาต้ม เส้นหมี่จะมีความนุ่มละมุนลิ้น ผสมกับรสชาติเค็มปะแล่มๆ อันเป็นเอกลักษณ์ กินเมื่อไหร่ก็อร่อยถูกใจ บวกกับเป็นอาหารที่ทำง่าย ใช้เวลาทำไม่นานก็ได้กิน เหมาะกับมนุษย์สายขี้เกียจเช่นฉันนักล่ะ
จะว่าไป นี่เป็นอาหารที่แม่และน้าจัดใส่ลงกระเป๋าเดินทาง เพื่อให้ฉันติดตัวเอาไว้เมื่อครั้งไปเรียนต่อด้วยนะ ประมาณว่าเวลาฉันคิดถึงบ้าน ก็แกะซองหมี่สั่วเอามาต้มกินคลายความคิดถึงละกัน
จำได้ว่าตอนที่ฉันต้มกินที่ต่างแดนเป็นครั้งแรก เพื่อนชาวต่างชาติ เจ้าของบ้านที่ฉันไปอาศัยอยู่ด้วยนั้น เมื่อได้กลิ่นของหมี่สั่วต้มที่มีควันลอยกรุ่นขึ้นมาจากหม้อ ได้บอกกับฉันว่ากลิ่นมันเหมือนข้าวโอ๊ต ไม่รู้เหมือนกันว่ามันคล้ายกันจริงมั้ย แต่นั่นนับเป็นสัญญาณที่ดี ต่างจากตอนฉันผัดข้าวผัดที่ต้องปรุงรสด้วยน้ำปลาและซีอิ๊ว เล่นเอาเพื่อนทำหน้าเบ้ พร้อมเดินขาขวิดออกจากบ้านแทบไม่ทัน 555 จะอะไรซะอีกล่ะ แพ้ความ fish sauce ไง
ครั้งหนึ่งตอนยังเด็ก บ้านฉันเคยลงไปเยี่ยมญาติถึงภูเก็ต ในตอนเช้าตรู่วันหนึ่ง ท่ามกลางสายหมอกบางเบา ญาติพาพวกเราเดินไปหาของกิน และก็มาจบลงตรงร้านรถเข็นขายหมี่สั่ว
เมื่อได้ลองชิมต้มหมี่สั่วของคุณแม่ค้ารถเข็น แม้จมูกและลิ้นของฉันจะสัมผัสได้ถึงกลิ่นของผงชูรสที่ผสมอยู่ในน้ำซุป คาดว่าแม่ค้าคงใส่เข้าไปเพื่อเพิ่มรสชาติให้อร่อยถูกปากลูกค้า แถมด้วยการโรยพริกไทยมาอย่างเยอะ ตักเส้นเข้าปากพร้อมซดน้ำซุปเข้าไป มันก็จะเผ็ดนิดๆ จนต้องแอบสูดปากเบาๆ
รสชาติของหมี่สั่วชามนั้น จึงไม่ได้อร่อยพิเศษเท่าไหร่นัก แต่สิ่งที่ทำให้ฉันประทับใจ นั่นเป็นเพราะมันเป็นการนั่งกินมื้อเช้าริมทางที่ปกคลุมไปด้วยสายหมอกบางๆ เรียกว่าคะแนนบรรยากาศนำโลด อาหารเลยอร่อยกว่าเดิมอย่างน่าอัศจรรย์
หมี่สั่วจึงเป็นอาหารอีกอย่างที่ฉันรู้จักและกินมาตั้งแต่จำความได้ เวลาเห็นซองหมี่สั่ว ฉันจะนึกถึงญาติผู้ใจดีและรสชาติแห่งภูเก็ต อืม...ฉันมั่นใจว่าภูเก็ตยังมีอาหารท้องถิ่นที่อร่อยอีกมากมาย แต่หมี่สั่วกลับเป็นอาหารที่โดดเด่นในความทรงจำของฉัน (แหงละสิ ก็แกกินอยู่อย่างเดียวนี่นา)
หากมีโอกาสได้ไปเยือนภูเก็ตอีกสักรอบ ฉันคงเผลอมองไปตามถนนเส้นที่เคยไปนั่งกินหมี่สั่วจากร้านคุณพี่แม่ค้าท่านนั้นเมื่อหลายสิบปีก่อน ไม่รู้ว่าเดี๋ยวนี้คุณพี่จะยังคงขายอยู่เหมือนเดิมหรือไม่
ขอกลับไปนั่งดื่มด่ำ ลิ้มรสหมี่สั่วผสมผงชูรสในความทรงจำซะหน่อย จะเตรียมน้ำเปล่าให้พร้อมไว้เลยหนึ่งขวด เพราะคาดว่ากินเสร็จคงต้องดื่มน้ำเยอะแน่นอน
Source
ภาพประกอบ: My own collection
Comments
Post a Comment