อังกะลุง


เมื่อถึงคาบเรียนดนตรีสมัยประถม นอกจากจะได้เรียนการรำ ฟ้อนเล็บ จับจีบแล้ว ฉันและเพื่อนร่วมห้องยังได้เล่นดนตรีแบบเป็นชิ้นเป็นอันด้วย เครื่องดนตรีที่คุณครูจับให้นักเรียนเล่นในคราวนั้น ได้แก่ อังกะลุง

พอถึงชั่วโมงเรียน เด็กทุกคนจะไปนั่งเก้าอี้ที่ตั้งแถวเรียงรายเอาไว้ โดยแยกย้ายกันไปนั่งตามตำแหน่งตัวโน้ตที่แต่ละคนได้รับมอบหมายหน้าที่มาจากคุณครู เมื่อนั่งเสร็จเรียบร้อย พร้อมอังกะลุงในมือ จากนั้นก็รอครูส่งสัญญาณให้เริ่มบรรเลงดนตรี

การเล่นอังกะลุงในคราวนั้น เป็นอะไรที่สนุก ผสมกับอาการลุ้นอยู่หน่อยๆ เพราะต้องตั้งใจฟังว่าตอนนี้ทำนองเพลงดำเนินมาถึงไหนแล้ว ใกล้จะถึงท่อนที่ฉันต้องเล่นรึยัง เมื่อถึงตัวโน้ตของฉัน มือก็ขยับยกขึ้นเขย่าอังกะลุงให้ส่งเสียงดัง

ว่ากันตามจริง ตอนนั้นน่ะ ความสนุกสนานดูจะนำหน้าความไพเราะจากบทเพลงไปซะแล้ว ทั้งความตื่นเต้นว่าเมื่อไหร่จะถึงตาฉันเขย่าอังกะลุง ทั้งความเพลิดเพลินจากการเขย่าเครื่องดนตรีให้เกิดเสียง ตาก็คอยมองคุณครู สลับกับเพื่อนร่วมชั้นไปด้วย เผลอแป๊บเดียว ชั่วโมงดนตรีก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว

นั่นเป็นประสบการณ์ครั้งแรก และเพียงครั้งเดียวที่ฉันได้เล่นเครื่องดนตรีชนิดนี้ ซึ่งทำให้ฉันตระหนักได้ว่า อังกะลุง เป็นเครื่องดนตรีที่จะต้องอาศัยความร่วมมือกันระหว่างสมาชิกทุกคน เพื่อให้เกิดเป็นบทเพลงที่มีท่วงทำนองไพเราะ ขาดเสียงใดเสียงหนึ่งไป เพลงก็คงไม่สมบูรณ์ อืม...สามัคคีคือพลัง

ไหนๆ ก็พูดถึงอังกะลุงแล้ว เลยคิดถึงเพลงเก่า “สนต้องลม” เวอร์ชันที่ขับร้องโดยคุณรวงทอง ทองลั่นธม นอกจากผู้ฟังจะได้ยินเสียงร้องหวานใสจากคุณรวงทองแล้ว ยังได้ฟังเสียงอังกะลุงที่เคล้าคลอไปกับทำนองเพลงอีกด้วย

สนต้องลม จึงเป็นอีกหนึ่งเพลงเก่าที่ฉันประทับใจ โดยเฉพาะเนื้อร้องในท่อนที่ว่า “โอ้รักไม่แน่นอน เปลี่ยนเป็นร้อนแล้วก็เย็น หัวใจไหวเอน ดังเช่นสนต้องลม” ฟังแล้ว รู้สึกชื่นชมครูเอิบ ประไพเพลงผสม ผู้ประพันธ์คำร้องเป็นอย่างมาก ท่านเข้าใจเปรียบเปรยความรักกับธรรมชาติได้อย่างลึกซึ้ง

นึกถึงอังกะลุง และคาบเรียนดนตรีสมัยยังเยาว์ขึ้นมาคราใด ฉันเป็นต้องไปเปิดเพลงสนต้องลมมาฟัง แค่ได้ยินเสียงอันเป็นเอกลักษณ์ของอังกะลุง บวกกับทำนองเพลงอันไพเราะ เพียงเท่านี้ ฉันก็ฟินแล้ว

หลับตาฟังเพลงอย่างมีความสุขพร้อมรอยยิ้ม

Source

Comments