ทะเล พะงัน เลขที่ 1


ตอนเรียนจบมาได้ประมาณห้าเดือนกว่าๆ ในขณะที่เพื่อนทุกคนเข้าสู่โหมดพนักงานออฟฟิศ มนุษย์ดีเลย์เช่นฉันกลับยังคงเดินเตะฝุ่น ระหว่างที่กำลังเคว้งคว้าง มึนงง สับสนชีวิต เจ้าเพื่อนซี้เลขที่ 1 ที่เดินทางไปเรียนต่อโททันทีที่เรียนจบ ก็ได้เวลากลับมาเยี่ยมบ้านเกิดเมืองนอน

อ่านถึงตรงนี้ ใครที่กำลังสงสัยว่าเลขที่ 1 นี่ใครกันฟระ โผล่มายังไง จะบอกให้หายสงสัยว่ามนุษย์ผู้นี้เป็นเพื่อนสนิทของฉันเอง เคยเขียนเล่าถึงมันไว้บ้าง เอาเป็นว่า ใครอยากรู้จักเลขที่ 1 มากกว่านี้ แนะนำให้ลองค้นหาคีย์เวิร์ดคำว่า “เลขที่ 1” แล้วลองไปอ่านกันดู

กลับมาเล่าต่อจากที่ค้างไว้ ช่วงเวลาที่เลขที่ 1 กลับเมืองไทย ตอนนั้นเพื่อนทุกคนต่างกำลังตั้งหน้าตั้งตาทำงาน ไม่มีใครว่างพอจะเป็นเพื่อนเที่ยว ยกเว้นก็แต่เลขที่ 2 เพื่อนคู่ทุกข์คู่ยากของมันนั่นแหละ (จะใครซะอีกล่ะ ก็ฉันนี่ไง)

สมัยนั้นน่ะ ฉันยังเป็นเด็กใสๆ เรียบร้อยดั่งผ้าพับไว้ เมื่อเลขที่ 1 มาเยี่ยมกันถึงบ้าน พร้อมกับหว่านล้อม อ้อนวอนให้ไปเที่ยวด้วยกันกับมันหน่อย และมันยังบอกกล่าวกับแม่และน้าของฉันเสร็จสรรพว่าจะพาฉันไปเที่ยวทะเลที่เกาะพะงัน มีการโฆษณารับประกันอีกเล็กน้อยว่า ไปเที่ยวกับมัน ปลอดภัย หายห่วง

อนิจจา เด็กใสอย่างฉันในตอนนั้น ช่างไม่รู้ชะตากรรมของตัวเองเลยว่าเพื่อนที่แสนดี มันไม่ได้พาเที่ยวทะเลในแบบทั่วไปสักนิด ไม่มีการมานั่งก่อกองทราย ชมคลื่นซัดเข้าหาฝั่ง ดูปูลมขุดทราย อะไรเทือกนั้นแต่อย่างใด

อยากรู้ใช่มั้ยล่ะว่าเจ้าเลขที่ 1 พาฉันไปไหน ถ้าพูดถึงเกาะพะงัน สายเที่ยวต้องรู้เสะ ใช่ค่ะ Full Moon Party นั่นเอง กว่าจะไปถึงเกาะ จำได้ว่าต้องนั่งรถสองแถว กระเด้งกระดอน เลี้ยวลดคดเคี้ยวไปตามถนนสายขรุขระ หัวสั่นหัวคลอนกันจนมึน

ไปถึงเกาะ อย่าคิดว่าจะได้ check in เข้าห้องพักง่ายๆ สบายๆ เพราะเพื่อนฉันมันไม่ได้จองที่พักเอาไว้ล่วงหน้า (กะไปตายเอาดาบหน้าสินะ) มึนหัวจากสองแถวแล้ว ยังต้องเมื่อยลากกระเป๋าอันหนักอึ้ง ตระเวนไปถามหาห้องพักทางนั้นที ทางนี้ที กว่าจะได้ห้องว่าง เหนื่อยโฮก ลิ้นห้อย หอบแฮ่กๆ (เอ๊ะ! นั่นหมาหรือคน)

เกาะพะงันเมื่อเกือบสองทศวรรษที่ผ่านมา มีความแตกต่างจากเกาะพะงันเวอร์ชันปัจจุบันอย่างมีสาระสำคัญ ในยุคนั้น เห็นจะมีแต่ฉันและเพื่อนที่เป็นนักท่องเที่ยวหัวดำ เพราะทั่วทั้งเกาะแทบจะเต็มไปด้วยชาวต่างชาติหัวทองกันถ้วนหน้า ประมาณว่าเหมือนหลุดไปอยู่ต่างประเทศเลยก็ว่าได้

ความเมามันเริ่มกันช่วงเย็นย่ำ ทั้งแสง สี เสียงมาเต็ม บรรดาร้านค้าจะตั้งเรียงรายไปตามชายหาด แต่ละร้านมีธีมของตัวเอง บางร้านเปิดเพลงฝรั่งย้อนยุค แนว old school ขณะที่บางร้านเปิดเพลงฮิตติดลมในขณะนั้น และมีอีกหลายร้าน หลายแนวดนตรี ทั้งเทคโนแดนซ์ ป็อป ร็อก เร็กเกก็มีจ้า เลือกเอาแนวที่ชอบแล้วเข้าไปแจมได้เลย

จิบเครื่องดื่มไป ดูคนอื่นเต้นไป มันก็พอจะเพลินอยู่บ้างแหละ นั่นคือสภาพฉันในคืนแรก ส่วนเลขที่ 1 น่ะเหรอ มันน่ะขาแดนซ์ พอไม่มีใครเต้นด้วย มันก็เซ็งน่ะสิ แต่ก็ยอมนั่งอยู่กับฉัน ไม่หนีไปไหน คืนนั้นเราทั้งคู่ นั่งดูคนอื่นเต้นกันไปจนกระทั่งโต้รุ่ง จังหวะหนึ่ง เมื่อฉันหันไปดูข้างกาย อ้าว! แล้วกัน เพื่อนหายไปไหนฟระ หันมองไปรอบตัวอีกที นู่นค่ะท่าน โผล่ไปเต้นแร้งเต้นกาในทะเลอยู่คนเดียว นี่แหละเลขที่ 1 เต้นคนเดียวก็มันได้เฟร้ย

เข้าคืนที่สอง คืนนี้เพื่อนฉันมันไม่ยอมนั่งจับเจ่า เล่นทรายแก้เซ็งอีกแล้ว มันจัดการซื้อเครื่องดื่มเพื่อมอมเมาฉันโดยเฉพาะ ด้วยความสงสารเพื่อน ฉันจึงดื่มๆ ลงคอไปซะ รู้ตัวอีกที เริ่มหนักหัวหน่อยๆ เดินเซนิดๆ แล้ว

เมื่อเหล้าเข้าปาก ความกล้าเริ่มมาเยือน เลยได้ออกไปเต้นบ้าง เต้นไปพักหนึ่ง จนเริ่มไม่อยากเต้นต่อ แล้วจะทำไง เพื่อนยังสนุกอยู่เลย ฉันเลยแกล้งเมา ให้เจ้าเลขที่ 1 ลากตัวออกจากวงแดนซ์ พามานั่งที่โต๊ะ แกล้งปาทรายไปทางนู้นทางนี้ ทำทีจะปาใส่คนอื่นบ้าง เดือดร้อนให้เพื่อนต้องจับมือปรามไว้

ในที่สุด เมื่อเลขที่ 1 เห็นท่าไม่ดี ขืนยังทู่ซี้อยู่ตรงนี้ต่อไป ฉันคงได้สร้างวีรกรรมอะไรอีกมากมาย มันเลยลากตัวฉันกลับห้องพัก เหมือนฟ้ากลั่นแกล้งเข้าไปอีก เมื่อเพื่อนฉันดันทำกุญแจห้องพักหล่นหายไปตรงไหนของหาดทรายก็ไม่ทราบได้ ต้องลากตัวฉันไปขอกุญแจสำรองที่ล็อบบี้อีก เป็นที่ทุลักทุเลยิ่งนัก

จากที่แกล้งเมาเพราะไม่อยากเต้นต่อ พอหัวถึงหมอน คราวนี้เริ่มมึนจริง ชีวิตนี้ไม่เคยเมาเหล้ามาก่อน เป็นความรู้สึกที่ประหลาดยิ่งนัก ฉันเลยหัวเราะออกมา ขณะเดียวกันนั้น เลขที่ 1 ผู้น่าสงสาร ก็มัวสาละวน หยิบผ้าขนหนูมาคอยซับหน้าตา เช็ดเนื้อตัวให้ฉัน เดาเอาว่ามันคงกำลังภาวนาให้ฉันสร่างเมาซะทีเซ่ ไม่หนุกนะว้อย

ท่ามกลางความเมาที่ไม่คุ้นเคย ฉันได้ยินเสียงเจ้าเลขที่ 1 แว่วๆ สติที่ยังหลงเหลืออยู่กับตัวเพียงน้อยนิด ทำให้พอจับใจความได้ว่ามันโทรไปรายงานพฤติกรรมหลุดโลกของฉันให้นังส้มกลิ้ง เพื่อนสนิทอีกคนในกลุ่มฟัง (เรื่องราวของส้มกลิ้ง ไปตามหาอ่านกันได้จาก To Love You (Even) More)

ปากก็บรรยายอาการเมาแล้วหัวเราะของฉันให้นังส้มกลิ้งเห็นภาพ สายตาก็คอยสอดส่องพฤติกรรม (อันไม่น่าไว้ใจ) ของฉันไปด้วย แหม...หัวเราะคิกคัก สนุกกันใหญ่เลยนะพวกเมริง แกล้งมันอีกนิดดีกว่า ฉันเลยลุกขึ้นมาจากเตียงแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย เล่นเอามันตกใจจนต้องวางสายจากนังส้มกลิ้ง เพื่อมาจับตาดูฉันแทน อืม...นับว่าแต่ละคน มีความชั่วร้ายไม่ต่างกัน (ศีลเสมอกัน เลยคบกันได้ไง)

ลุกจากเตียงแล้ว ฉันก็เดินโซซัดโซเซ เข้าห้องน้ำ กินเหล้าเข้าไปเยอะ มันก็ต้องปวดฉี่เป็นธรรมดานั่นแหละ เมื่อเลขที่ 1 เห็นแบบนั้น เลยเกิดอาการโล่งอก หายตื่นตกใจไปได้

อ้อ! ลืมเล่าไป ก่อนหน้าจะกลับเข้าห้องพักน่ะ ตอนที่ก้มลงจะใส่รองเท้าที่ถอดทิ้งไว้บนหาดทราย แต่ก็พบว่า รองเท้าข้างหนึ่งของฉันได้อันตรธานหายไปแล้ว คงมีมนุษย์ที่เมากว่า เกิดมึนจนใส่รองเท้าสลับข้างไปแน่นอน

แล้วทำไงน่ะเหรอ improvise เสะ มีอะไรเหลือ ก็ใส่มันกลับไปทั้งอย่างนั้นนั่นแหละ ช่างเป็นคืนที่วุ่นวาย สับสน อลหม่านซะเหลือเกิน แต่สิ่งที่ฉันได้รู้แน่แก่ใจ ภายใต้ความกึ่งเมา (ไม่เมาทั้งหมดไง เมาจริงบ้าง แอ๊บเมาเอาบ้าง) นั่นคือ แม้จะออกอาการเหวี่ยงวีน เมามายแค่ไหน เลขที่ 1 ก็ไม่ทิ้งฉัน ทุลักทุเลยังไง ก็ยังคงหอบหิ้วฉันในสภาพมึนเมา ไปไหนไปกัน

ขากลับจากเกาะพะงันครั้งนั้น ขณะแวะกินข้าวที่ร้านข้างทางก่อนถึงสถานีรถทัวร์ ฉันมองหน้าเพื่อนที่กำลังก้มหน้าก้มตากินข้าวไข่เจียวที่แสนจะจืดชืด ไร้รสชาติ เป็นไข่เจียวที่ไม่อร่อยที่สุดเท่าที่เคยกินมา เห็นหน้าเซ็งเป็ดในความไม่อร่อยของมันแล้ว ฉันรู้สึกรักเลขที่ 1 ขึ้นมากกว่าเดิมจริงๆ

Full Moon Party สำหรับใครหลายคน อาจสนุกสุดเหวี่ยง บ้าบอลืมโลก แต่ปาร์ตี้ท่ามกลางแสงจันทร์สำหรับฉันในครั้งนั้น ทำให้ฉันได้รู้ซึ้งถึงน้ำใจของเพื่อนสนิท เพื่อนที่แสนดี (ในแบบของมัน) คนที่ไม่ทิ้งกันยามฉันเมามายไร้สติ

รักและคิดถึงแกเสมอ...เลขที่ 1

Source
ภาพประกอบ: Photo by Adrianna Calvo from Pexels

Comments