เมื่อเกือบยี่สิบปีก่อน ฉันได้รับหนังสือเล่มหนึ่งจากคุณน้าเบอร์ 1 ซึ่งน่าจะเป็นหนังสือในฝันอับดับต้นๆ ของเด็กทุกคนเลยก็ว่าได้ ใช่แล้ว หนังสือเล่มนั้นก็คือ แฮร์รี่ พอตเตอร์กับศิลาอาถรรพ์ หรือในชื่อภาษาอังกฤษว่า Harry Potter and the Philosopher’s Stone โดยเป็นหนังสือลำดับแรกในจำนวนทั้งหมดเจ็ดเล่ม
จำได้ว่าตอนที่คุณน้ายื่นหนังสือให้ ฉันตื่นเต้นมาก ได้มาแล้วรีบปักหลักนั่งอ่านอย่างหมกมุ่น เมื่ออ่านจนจบ ฉันจึงเข้าใจว่าทำไมเด็กทุกคนถึงชอบหนังสือเรื่องนี้กันนัก ส่วนหนึ่งน่าจะเป็นเพราะเนื้อหาของหนังสือที่เกี่ยวกับพ่อมด แม่มด โรงเรียนเวทมนตร์ การร่ายคาถา เรื่องแนวนี้น่าจะถูกใจเด็กๆ นักล่ะ
แน่นอนว่าหนังสือเล่มหนึ่งจะน่าติดตาม เป็นที่ถูกใจของผู้อ่านมากน้อยเพียงใด ย่อมขึ้นอยู่กับความสามารถ พรสวรรค์ ความคิดสร้างสรรค์ของผู้ประพันธ์ และ J.K. Rowling หญิงสาวชาวอังกฤษ ผู้เนรมิตเรื่องราวมหัศจรรย์ของพ่อมดน้อย Harry Potter และเหล่าผองเพื่อน ก็ไม่ทำให้ผู้อ่านผิดหวัง
อ่านเล่มแรกจบแล้ว ฉันก็ไม่ต่างจากนักอ่านคนอื่น ออกอาการติดหนึบกับเรื่องราวในหนังสือ อยากเป็นนักเรียน Hogwarts อยากไปเที่ยว Diagon Alley จะได้ไปซื้อไม้กายสิทธิ์ที่ร้านคุณ Ollivander อยากเห็น Dumbledore ตัวจริง อยากไปนั่งเรียนในชั่วโมงสอนการร่ายคาถาของ Professor Flitwick ดูบ้าง โอย...อันความอยากนี้ มีอีกมากมายหลายล้านแปดอย่าง
ทันทีที่อ่านเล่มแรกจบ ก็เฝ้ารอหนังสือเล่มต่อไปอย่างใจจดใจจ่อ ฉันอ่านเล่ม 1-4 ในฉบับภาษาไทย แต่หลังจากนั้น ชักจะรอเวลาหนังสือภาคภาษาไทยออกไม่ไหว ประมาณว่าอยากอ่านแล้ว ขอไปต่อ ไม่รอภาษาไทยล่ะนะ
เมื่อได้ข่าวว่าหนังสือเล่มห้าในภาคภาษาอังกฤษออกวางจำหน่ายในเมืองไทยเป็นที่เรียบร้อย ฉันก็รีบพุ่งตัวไปร้านหนังสือ เพื่อจะซื้อกลับมาอ่านโดยไว เอาวะ! แม้จะต้องอ่านไป เปิดดิกเพื่อหาความหมายของคำศัพท์ที่ไม่รู้จักไปด้วย ฉันก็ไม่ย่อท้อ
จำได้ว่า Harry Potter and the Order of the Phoenix หรือแฮร์รี่ พอตเตอร์กับภาคีนกฟีนิกซ์ มีความหนากว่าภาคสี่พอสมควร นับเป็นหนังสือภาษาอังกฤษเล่มที่หนาที่สุด ยาวที่สุดเท่าที่ฉันเคยอ่านมา และภาคห้านี่แหละ ที่เป็นจุดกำเนิดของการอ่านไป น้ำตารินไป ฮือๆ อ่านจบ ตาบวมเลย
หลังจากนั้น เมื่อเล่มหกและเล่มเจ็ดออกวางขาย สาวก HP อย่างฉัน เป็นต้องถ่อไปซื้อในวันแรกที่จำหน่าย เห่อมากมาย แต่ระดับความเห่อของฉันคงไม่สามารถเทียบได้กับสาวกพันธุ์แท้ที่ลงทุนไปต่อคิวหน้าห้างตั้งแต่คืนก่อนที่จะเปิดขายกันเลยทีเดียว ถ้าจำไม่ผิด มีแฟนหนังสือบางคน ลงทุนแต่งชุดพ่อมด แม่มด ไปเข้าคิวรอซื้อหนังสือด้วยนะ
อย่างที่บอกว่าฉันเริ่มร้องไห้ตั้งแต่ตอนอ่านภาคห้า พอมาต่อเล่มหกและเจ็ด ก็ยังคงบ่อน้ำตาแตกเช่นเดิม เหมือนกับว่าเฝ้าตามอ่านมานาน จนเกิดความผูกพันกับตัวละครในเรื่องเข้าซะแล้ว ซึ่งนักอ่านหลายคนก็คงมีอาการเดียวกันกับฉันนั่นแหละ และทุกคนที่ได้อ่านก็น่าจะมีตัวละครโปรดในใจด้วยกันทั้งนั้น
นับว่า J.K. Rowling เป็นนักเขียนที่มีฝีมือในการแต่งหนังสือจริงๆ เพราะเธอสามารถทำให้ชื่อของพ่อมด Harry Potter เป็นที่รู้จักแก่ผู้คนทั่วโลก มีการแปลหนังสือออกมาหลากหลายภาษา และหนังสือชุดนี้ ก็ได้พลิกผันชีวิตของเธอไปอย่างสิ้นเชิง จากคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวที่ต้องพึ่งเงินสวัสดิการรัฐ กลายเป็นหนึ่งในนักเขียนที่ร่ำรวยที่สุดในโลก
อ่านหนังสือว่าสนุกแล้ว พอมาดูภาพยนตร์ก็สนุกเข้าไปอีก แบบพลาดไม่ได้สักภาคเดียว กลายร่างเป็นติ่งโลกเวทมนตร์ ตามดูมันซะทุกภาค
แม้ว่าเรื่องราวการต่อสู้ระหว่าง Harry และ You-Know-Who จะสิ้นสุดลงแล้ว แต่เหล่าสาวกพ่อมด แม่มดทั้งหลายก็ยังคงได้เพลิดเพลินกันต่อกับเรื่องราวของพ่อมด Newt Scamander ผู้แต่งหนังสือ Fantastic Beasts and Where to Find Them
จากติ่ง Harry Potter ตอนนี้ฉันเลยต้องผันตัวมาเป็นติ่ง Newt Scamander ไปเป็นที่เรียบร้อย และยังคงเฝ้ารอภาพยนตร์ภาค 3 ด้วยความตื่นเต้น ไม่ต่างจากในอดีต เมื่อครั้งที่ตัวเองตั้งหน้าตั้งตารอวันที่หนังสือออกวางขาย
นับว่าเวทมนตร์ของ J.K. Rowling ยังคงสร้างความมหัศจรรย์ให้กับโลกนักอ่านได้อย่างต่อเนื่อง
ก่อนจะลากันไป คงต้องทิ้งท้ายด้วยคำพูดที่ว่า “I eagerly swear that I’ll always be your fan.”
แบบนี้ล่ะ น่าจะเข้าบรรยากาศมากที่สุดแล้ว
Source
Comments
Post a Comment