ห้องสมุด


สถานที่ที่ฉันชอบไปสิงสถิตมากที่สุดสมัยเป็นนักศึกษา ได้แก่ ห้องสมุด เปล่าหรอก ฉันไม่ได้เป็นเด็กเรียนที่มุ่งมั่นอ่านตำรับตำราเรียนแต่อย่างใด ไอ้ที่ชอบห้องสมุดมาก เพราะเป็นหนึ่งในสถานที่เงียบสงบ เหมาะแก่การงีบระหว่างรอเรียนคาบต่อไปต่างหาก (เป็นนักศึกษาที่แย่มากนะแก)

ชั้น 3 ของห้องสมุดมหาวิทยาลัย เป็นชั้นที่ถูกใจฉันมากเป็นพิเศษ เนื่องจากอยู่ลึกสุด เงียบสุด และคนน้อยสุด อ้อ! ลืมบอกไปว่าห้องสมุดแห่งนี้ เป็นห้องสมุดใต้ดินนะ เวลาไปนั่งพักผ่อนหย่อนใจ ฉันจึงมักจะรู้สึกว่าตัวเองกำลังดำดิน เริ่มกระบวนการจำศีล อะไรประมาณนั้น

ชั้น 1-2 จะเป็นชั้นที่มีคนใช้บริการค่อนข้างพลุกพล่าน เคยไปจับจองที่นั่งในบริเวณนั้นอยู่สองสามครั้ง แต่ก็พ่ายแพ้ต่อความคนเยอะ แม้นักศึกษาส่วนใหญ่จะค่อนข้างเคารพกฎระเบียบในการใช้ห้องสมุดก็เถอะ แต่บางครั้งก็ยังมีเสียงพูดคุยกันลอยมาให้ได้ยิน ทำให้ฉันรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย

นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ฉันมักจะปลีกวิเวก เลือกไปหมกตัวอยู่ชั้นล่างสุดของห้องสมุด อีกประการหนึ่งที่ทำให้ฉันติดใจชั้น 3 เพราะเป็นที่เก็บรวบรวมบรรดาหนังสือภาษาต่างประเทศนั่นเอง มีหนังสือมากมายหลายประเภทให้เลือกอ่าน ทั้งบทกลอน วรรณกรรมเยาวชน ตำราโหราศาสตร์แบบโบราณ นิทาน วรรณคดี ฯลฯ

สำหรับฉัน ห้องสมุดเป็นสถานที่ที่มีมนต์ขลัง ยามพลิกหน้ากระดาษ แล้วได้กลิ่นหนังสือเก่า ทำให้รู้สึกดีแบบบอกไม่ถูก ฉันชอบเวลาที่ได้เดินไล่หาหนังสือที่ตัวเองต้องการไปตามชั้นวางหนังสือที่เรียงรายราวกับไม่มีที่สิ้นสุด ยามที่ใช้มือกระตุกเชือกที่ห้อยอยู่กับโคมไฟบนเพดาน เพื่อเปิดให้แสงไฟสว่างกระจายไปยังชั้นหนังสือ ได้เห็นภาพหนังสือมากมายที่จัดเก็บอย่างเป็นระเบียบ ราวกับหนังสือเหล่านั้นกำลังเฝ้ารออย่างเงียบสงบ รอที่จะได้บอกเล่าเรื่องราวกับใครสักคนที่เลือกหยิบพวกมันไปอ่าน

ความรู้สึกเหล่านี้ ฉันจะสัมผัสได้ก็ต่อเมื่อมาเยือนชั้น 3 ของห้องสมุดเท่านั้น บรรดาเพื่อนนักศึกษาที่มาใช้บริการในส่วนนี้ มักจะเป็นคนที่มีเคมีต้องกัน (เดี๋ยวก่อน นี่ไม่ใช่แนวแอบปิ๊ง อะไรเทือกนั้นนะ) แต่มนุษย์ชั้น 3  อย่างพวกเราน่ะ ส่วนมากจะเป็นคนชอบความเงียบสงัด หากใครนั่งอ่านหนังสือ ก็จะนั่งอ่านแบบเงียบๆ อยู่ในโลกส่วนตัวของตัวเองไป หรือใครทำรายงานเป็นกลุ่ม ก็ตั้งใจทำอย่างมีสมาธิ ไม่ค่อยมีเสียงพูดคุยหลุดรอดออกมารบกวนเพื่อนร่วมชั้น

นักศึกษาสายนอนแบบฉันก็สามารถพบเห็นได้บ้างแบบประปราย ต้องบอกเลยว่า ชั้น 3 เป็นส่วนที่เหมาะแก่การงีบเป็นอย่างยิ่ง มีทั้งกลิ่นหนังสือเก่าคอยโอบกล่อม แอร์เย็นๆ แถมบรรยากาศเงียบสงบ เพียงแต่อาจจะต้องหามุมลับตาคนเล็กน้อย เนื่องจากค่อนข้างเกรงใจ เผื่อใครมาเห็นภาพตัวเองนอนน้ำลายยืด

มุมที่ฉันชอบหลบไปงีบ จะเป็นมุมด้านในสุด อยู่ด้านหลังชั้นวางหนังสือทั้งหลาย ซึ่งโต๊ะสำหรับนั่งอ่านหนังสือในบริเวณนั้นจะเป็นโต๊ะไม้ ฉันว่ามันให้ความรู้สึกอบอุ่นมากกว่าโต๊ะที่ทำจากวัสดุอื่นๆ เวลาเอนตัวลงนอน ได้สัมผัสพื้นผิวของเนื้อไม้ มันทำให้ฉันอุ่นใจ

เช่นเดียวกับการงีบ เวลาฉันนั่งอ่านหนังสือตามปกติ (เห็นมั้ยล่ะว่าฉันก็ใช้ห้องสมุดอย่างถูกวัตถุประสงค์กับคนอื่นเค้าได้เหมือนกัน ไม่ใช่คิดแต่จะอาศัยนอนหลับพักผ่อนเพียงอย่างเดียว) ฉันก็ยังคงเลือกมานั่งอ่านที่โต๊ะไม้ ฉันว่ามันละมุนต่อใจมากกว่า

การได้พักสายตาสักครู่ แล้วตื่นขึ้นมาเพื่อเตรียมตัวสำหรับคาบเรียนถัดไป นับเป็นวิธีเพิ่มพลังงานระหว่างวันที่ดีอีกวิธีหนึ่ง (วิธีอื่นที่ฉันใช้ คงเป็นการออกไปหาอะไรอร่อยๆ กิน แถวละแวกมหาวิทยาลัย อือ...นอกจากจะเป็นสายนอนแล้ว แกก็เป็นสายกินด้วยสินะ)

ในยามที่ลิฟต์ค่อยๆ ทะยานขึ้นจากชั้น 3 และพาฉันกลับมาสู่โลกเบื้องบน ราวกับว่าฉันได้รับการชาร์จพลังงานจากใต้ดินมาอย่างเต็มที่ เมื่อเปิดประตูออกมาพบกับแสงแดดจัดจ้าในยามบ่าย ทำให้ต้องหยุดพักปรับสายตาสักเล็กน้อย

หลังจากลืมตาขึ้นมาสู้แสง ฉันจึงเริ่มย่างเท้าก้าวเดินไปยังตึกเรียน เตรียมตัวกลับไปเผชิญกับทฤษฎีและตัวเลขชวนมึนต่อไป โดยทิ้งเรื่องราวจากเทพนิยายปรัมปราที่ชอบไปหาอ่านจากชั้น 3 ของห้องสมุดเอาไว้เบื้องหลัง

Source
ภาพประกอบ: Photo by Janko Ferlic from Pexels

Comments