ติ๋งนี้...หยดนาน


หายไปหนึ่งวัน เนื่องจากหัวค่ำเมื่อเย็นวาน พลังงานหมด กะว่าของีบสักแป๊บ แล้วค่อยลุกขึ้นมาเขียน ที่ไหนได้ มารู้ตัวอีกทีก็ปาเข้าไปตีสองกว่าแล้ว แต่ก็ยังอุตส่าห์รักความสะอาดนะ ลุกขึ้นมาอาบน้ำตอนตีสองนั่นแหละ (ที่ถูกคือควรพูดว่า การเข้านอนทั้งที่ยังไม่ได้อาบน้ำน่ะ แปลว่าสกปรกนะเฟร้ย)

ก่อนหน้านั้น ได้เกิดเหตุการณ์ระทึกขวัญเล็กน้อย อันเนื่องมาจากความซุ่มซ่ามของฉันเอง ดันเดินเอานิ้วแม่โป้งขาขวาไปชนกับส้นเท้าขาซ้าย แล้วเป็นไง ก็เจ็บน่ะสิ ถามได้ อูย...สูดปากหน่อย

หลังจากนั้น ฉันก็ไม่ได้ตรวจสอบผลงานความเฟอะฟะของตัวเอง มัวแต่ตั้งหน้าตั้งตาล้างจานชาม มาตะหงิดใจก็ตอนที่มันยังไม่หายเจ็บ พอมองลงไป เท่านั้นแหละจ้า เกิดอาการตึ๊ง ตึง ตึง ตึง ตะลึง ตึง ตึง เฮ้ย! หยุดร้องเพลง กลับมาก่อน

ก็จะไม่ให้ฉันตะลึงได้ไงล่ะ ในเมื่อเห็นว่าส้นเท้าข้างซ้ายกำลังมีเลือดไหลออกมาราวกับสายน้ำตก ซู่ซู่ ซ่าซ่า ปาทังก้า ปาทังกี้ (เอ๊ะ! ยังไม่เลิกอีก แกนี่มันวอนจริงเชียว) อะไรกันฟระ แค่ชั่วเวลาแป๊บเดียว ทำไมเลือดมันถึงได้ออกมามากมายเช่นนี้เนี่ย

หันไปมองพื้นรอบตัว ได้อึ้งมากกว่าเดิม เพราะเลือดมันไหลผ่านส้นเท้า ลงไปยังพื้นรองเท้า ซึ่งก่อนหน้านั้นน่ะ ยังไม่รู้ตัวไง ฉันก็เดินนู่นนี่นั่นอยู่แถวอ่างล้างจานนั่นแหละ มองดูอีกที พื้นบริเวณนั้นก็เต็มไปด้วยหย่อมสีแดง ราวกับผลงานศิลปะชวนสยองก็ไม่ปาน

เมื่อเห็นเลือดจำนวนมากเกินกว่าที่คาดไว้ เล่นเอาตกใจ ไปไม่เป็น พอตั้งสติได้ เลยรีบไปล้างแผล หากระดาษมาซับเลือด จากนั้นก็คว้าไม้ถูพื้นมาเช็ดรอยเลือด ตอนมองภาพรอยเลือดที่ค่อยๆ หายไปทีละหย่อมนั้น รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นฆาตกรโรคจิตที่กำลังอำพรางหลักฐานการฆาตกรรมอยู่เลย (จงตื่น! แกจะฆาตกรรมตัวเองไม่ได้)

คิดขึ้นมาแล้ว ฉันยังไม่อยากจะเชื่อว่า เพียงแค่การเดินชนส้นเท้าตัวเอง มันจะสามารถมีเลือดออกมาจากตัวได้มากถึงเพียงนั้น พลันเสียงความคิดชั่วร้ายในใจก็ได้แว้บขึ้นมาว่า “แก่แล้วก็งี้แหละ” เพี๊ยะ! ตบปากตัวเองเซะ นี่มันประโยคต้องห้าม ไม่ควรพูดนะแก

อืม...แต่จะว่าไป เจ้าเสียงชั่วร้ายนั่นก็อาจจะมีส่วนถูกนะ พอเริ่มมีอายุ สภาพร่างกายมันก็ไม่สมบูรณ์เหมือนช่วงยังเป็นวัยรุ่น สมัยก่อนน่ะ เวลาเป็นแผลเลือดไหล ประเดี๋ยวเดียวเลือดก็หยุดแล้ว ผ่านไปไม่นาน แผลก็ตกสะเก็ด

มาวันนี้ วันที่ความแก่ค่อยๆ มาเยือน (จะตบปากตัวเองซ้ำก็ไม่ได้ นี่ปากยังบวมจากตบแรกอยู่เลย) กว่าแผลจะแห้งก็เข้าวันใหม่  กว่าจะตกสะเก็ด น่าจะอีกสองสามวัน คิดแล้วมันก็เศร้าใจเล็กๆ จนอยากวิงวอน ขอวัยสาวสดใสของฉันคืนมาจะได้ไหม (แล้วต้องไปขอกับใครล่ะ)

ยังค่ะ การเสียเลือดของฉันยังไม่จบลงเพียงเท่านั้น พอตกบ่าย อาการเฟอะกำเริบขึ้นมาอีกครา เดินชนโคมไฟล้มโครม จนมีชิ้นส่วนของโคมไฟแตกออกมา และด้วยความเข้าใจผิด คิดว่ามันคือเศษพลาสติก ฉันจึงก้มลงไปเก็บทันที

ที่ไหนได้ พลาสติกหามีไม่ เจอแต่เศษแก้วจากหลอดไฟที่แตก และได้รู้ก็ตอนหนึ่งในเศษซากชิ้นเล็กๆ ปักเข้าไปบนนิ้วโป้งมือขวาซะแล้วค่ะ ฉึก! อูย...สูดปากครั้งที่สอง ได้แต่บ่นตัวเองไปตามยถากรรม นี่แกนิยมความเจ็บปวดนักเรอะ

นั่นล่ะค่ะ ท่านผู้อ่าน ก็เป็นอันว่า เมื่อวานนี้ มีเหตุให้ฉันต้องบริจาคโลหิตปริมาณย่อมๆ ไปแบบไม่ทันตั้งตัว พอตกเย็น เรี่ยวแรงมันก็เลยหดหาย (อย่ามาแก้ตัว ความจริงแกง่วงล่ะเซ่)

วันนี้พลังงานกลับคืน เลยลุกขึ้นมาเล่าให้ฟังได้ แผลที่นิ้วโป้ง ตอนนี้หายแล้ว ส่วนแผลที่ส้นเท้า รอไปอีกสองสามวันนะจ๊ะ ระหว่างนี้ ก็อย่าซุ่มซ่ามอีกล่ะ อาวุโสมากขึ้นเท่าไหร่ แผลก็หายยากขึ้นเท่านั้น

Source
ภาพประกอบ: Photo by Kaique Rocha from Pexels

Comments