เพื่อให้สมบูรณ์ครบถ้วนในความรู้สึก จึงต้องมาเขียนถึง “นิรันดร์บรรจบ” หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือเรื่อง ในม่านกาล ภาค ๒ ซึ่งเป็นผลงานการเขียนจากราตรีนิมิต จากที่ฉันได้พร่ำเพ้อ ละเมอฝันถึงท่านชายภาค หม่อมเจ้าดิเรกภาสกร ภานุวรรธน์ จากในม่านกาลไปแล้ว มาคราวนี้ มีชายหนุ่มงานดีคนใหม่มาให้กรี๊ดกร๊าดเหมือนเคย
อะแฮ่ม...แต่ก่อนที่จะไปคลั่งไคล้ผู้คนใหม่ ควรให้เกียรตินางเอกของเรื่องนิดนึงเนอะ และนางเอกในเรื่องนี้ ได้แก่ ลิตา หรือลลิตา วิทยากรสาวประจำวังสวนกระจก ซึ่งตั้งแต่ครั้งแรกที่เธอได้มาเยือนวังแห่งนี้ในวันฝนตก พลันนั้นเธอก็รู้สึกคุ้นเคยเสมือนได้กลับมาสู่อ้อมอกของบ้านอันอบอุ่น
จากความคุ้นเคยอันแปลกประหลาดนี้ หลังจากเรียนจบ เธอจึงสมัครงานเป็นวิทยากรที่วังสวนกระจก แม้จะได้ทำงานที่วังสมตามความปรารถนาแล้ว ลิตากลับรู้สึกเหมือนกับว่ายังมีอะไรขาดหายไป เป็นสิ่งที่เธอเฝ้ารอคอย โดยที่ตัวเธอเองนั้นก็ไม่รู้ว่ากำลังคอยอะไรอยู่
เวลาได้ผ่านไป จนกระทั่งหม่อมราชวงศ์กฤษสุวรรณ ท่านเจ้าของวังคนปัจจุบัน ได้ตัดสินใจมอบวังแห่งนี้ให้อยู่ในความดูแลของหลานชาย ผู้รักความเป็นส่วนตัว และไม่ต้องการเปิดวังให้คนภายนอกได้เข้าชมอีกต่อไป นั่นจึงทำให้ลิตาต้องตกงานโดยปริยาย
ในวันสุดท้ายของการทำงานในฐานะวิทยากรประจำวัง ลิตาต้องการเก็บภาพทุกอย่างภายในวังแห่งนี้ไว้ในความทรงจำของเธอเป็นครั้งสุดท้าย เธอจึงได้เข้าไปร่ำลาภาพวาดของหญิงสาวผู้มีดวงตาสีประหลาด ซึ่งเป็นภาพวาดสุดท้ายที่ท่านชายภาคได้วาดเอาไว้ ก่อนที่ท่านจะสิ้นชีพิตักษัย
ขณะที่ลิตากำลังครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องราวของหญิงสาวปริศนาในภาพวาดอยู่นั้น จู่ๆ เธอก็ได้พบกับชายหนุ่มผู้หนึ่งที่ก้าวเข้ามายืนเคียงข้าง และพิจารณาภาพวาดของหญิงสาวผู้นั้นไปพร้อมกัน
ชายหนุ่มผู้นั้น คือ ภีม ภานุวรรธน์ ณ อยุธยา เจ้าของวังคนใหม่ เพียงพบกันครั้งแรก ลิตาตระหนักว่าการรอคอยอันยาวนานของเธอนั้น ได้สิ้นสุดลงแล้ว พร้อมความรู้สึกที่ว่าเธอและภีมเคยผูกพันกันมาก่อนหน้า ด้านของชายหนุ่ม ภีมเองก็รู้สึกไม่ต่างไปจากหญิงสาว ความรู้สึกที่ว่าตัวเขา เดินรอนแรมหลงทางมาแสนนาน จนในที่สุดก็ได้พบคนคุ้นเคย
ด้วยความที่ลิตากลายสภาพเป็นคนตกงาน เพื่อนสนิทที่คบหากันมาตั้งแต่สมัยมหาวิทยาลัยอย่างนิรุจ จึงแนะนำให้เธอลองไปสมัครงานในตำแหน่งเลขาที่บริษัทรับออกแบบบ้านและอาคารที่เพิ่งเปิดใหม่ ซึ่งเจ้าของบริษัทเป็นสถาปนิกที่เพิ่งจบจากต่างประเทศ และยังเป็นเพื่อนกับนิรุจอีกด้วย
เมื่อวันสัมภาษณ์งานมาถึง ลิตาก็ต้องแปลกใจที่ได้พบว่า ภีมคือเจ้าของบริษัทแห่งนี้ และหลังจากนั้น เธอกับภีมก็ได้พบกันอีกครั้งที่วังสวนกระจก โดยการพบกันครั้งล่าสุด ทั้งคู่ได้ฟังเพลง ราตรีประดับดาว (บทเพลงพระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ ๗) ซึ่งเป็นบทเพลงที่ทั้งคู่ต่างรู้สึกคุ้นเคย และในเย็นวันนั้นเอง ภีมจึงตัดสินใจรับลิตาเป็นเลขา
อ่านมาถึงตรงนี้ ฉันว่าหลายคนก็น่าจะพอเดากันได้ว่าลิตานั้นก็คือไลลา ส่วนภีม ชายหนุ่มผู้เย็นชา ดูไม่แคร์ผู้ใด ไม่สนใจใครทั้งสิ้น ก็คือท่านชายภาคจากในม่านกาลนั่นเอง
เรื่องราวในนิรันดร์บรรจบ มีความเกี่ยวเนื่องมาจากในม่านกาลอยู่พอสมควร ตัวละครบางตัวก็เชื่อมโยงมาจากตัวละครในภาคแรก ผู้อ่านที่เคยฟินไปกับท่านชายภาคและไลลามาก่อนหน้านี้ จะได้เปลี่ยนบรรยากาศมากรีดร้องกับความดุ ความซึน และความเนียนๆ ของคุณภีมกันบ้าง
มีหลายฉากที่ฉันแอบอมยิ้มไปกับพฤติกรรมของคุณชายผู้เย็นชา ไม่ว่าจะเป็นตอนที่คุณภีมขอติดสอยห้อยตามไปกินก๋วยเตี๋ยวข้างทาง ร้านโปรดของลิตาและนิรุจ แล้วยังมีตอนคุณภีมเคืองตู้รางวัล ต้นเหตุที่ทำให้ลิตาเจ็บตัว ไหนจะการตัดสินใจไปปฏิบัติธรรมพร้อมคุณแม่ ทันทีที่รู้ว่าเพื่อนที่ไปปฏิบัติธรรมพร้อมท่านในครั้งนั้นก็คือลิตา โถ! ช่างน่าเอ็นดูในความคุณภีมเสียนี่กระไร
อ้อ! นอกจากคุณชายภีมแล้ว ในเรื่องนี้ยังมีตัวละครน่าสนใจอีกสองคน นั่นก็คือพี่ชายทั้งสองของคุณภีมนั่นเอง ทั้งพี่ภูมิ ผู้ใจดี และพี่ภาคินที่เป็นมิตรกับผู้คน อยากให้คุณราตรีนิมิตแต่งเรื่องของพี่ชายทั้งสองบ้าง (บ้าผู้ชายอีกตามเคย)
โดยรวมแล้ว นิรันดร์บรรจบ ทำให้ฉันเพลิดเพลินจากการอ่านอยู่ไม่น้อย ได้ขำไปกับบางฉากบางตอน (ส่วนมากก็ขำคุณภีมนี่แหละ) ได้เห็นความรัก ความผูกพันข้ามภพข้ามชาติของท่านชายภาคและไลลาว่ามีพลังมากมายขนาดไหน และได้ซาบซึ้งไปกับถ้อยคำที่ท่านชายภาคฝากไว้ให้กับท่านชายเพชร
แถมช่วงท้ายเรื่อง คุณภีมยังได้เล่าเรื่องราวความรักของท่านชายเพชรให้ลิตาฟังด้วย โอ๊ย! เล่นเอาฉันตื่นเต้น อยากจะรู้เรื่องราวระหว่างท่านชายเพชรและรุ้งวาดเร็วๆ สงสัยคงต้องหาเวลาอ่านเรื่อง บุพเพรักร้อยลิขิต ในเร็ววันนี้แหละ
Sources
FB: ราตรีนิมิต
ภาพประกอบ: Photo by Daian Gan from Pexels
Comments
Post a Comment