ทุกสิ่ง


จาก Everything เมื่อวาน วันนี้ก็ต้องมี ทุกสิ่ง เพลงในตำนานจากวงพรู (อู๊ย...นี่เพลงสมัยยังสาวเลยนะเนี่ย) ส่วนผู้ขับร้องเพลงนี้ก็ตำนานคนหนึ่งในวงการดนตรี ซึ่งก็คือ พี่น้อย กฤษดา สุโกศล แคลปป์ ผู้มีลีลาท่าเต้นอันเป็นเอกลักษณ์

มั่นใจว่าแฟนเพลงวงพรู ย่อมจำท่าเต้น ballet เริงระบำ Swan Lake ในแบบพี่น้อยกันได้ แกเป็นศิลปินที่เวลาขึ้นแสดงคอนเสิร์ต ใช้เวทีได้คุ้มมาก ยิ่งพื้นที่กว้าง พี่น้อยยิ่งชอบ และเป็นกำไรของคนดูอีกด้วย เพราะจะได้เห็นพี่น้อยทั้งร้องเพลง กระโดด หมุน เล่นกับไมค์ ขึ้นไปยืนบนเก้าอี้ ลงมา ballet ต่อ จากนั้นก็เดินวนไปเวียนมา แทบจะไม่ค่อยเห็นพี่น้อยในโหมดอยู่นิ่งเลย ขอนับถือในพลังงานอันล้นเหลือของแกจริงๆ

ฉันว่าพี่น้อยในเวลาปกติที่ไม่ได้แสดงคอนเสิร์ต แกเป็นคนขี้อายอยู่นะ เป็นผู้ชายที่มีวิธีการพูดสุดแสนจะ soft นุ่มๆ ละมุน ปนความเขินเล็กน้อย ดูเป็นคนสุภาพและถ่อมตัว แต่พอพี่น้อยจับไมค์ร้องเพลงเท่านั้นแหละ โอ้โห...แม่เจ้า! ต้องบอกว่าเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ ราวกับเป็นคนละคนกันเลยทีเดียว ร้องเต็มที่ เต้นสุดเหวี่ยง เจ้าภาพจ้างร้อย พี่น้อยเล่นสิบล้าน

พูดถึงเพลงกันบ้าง ทุกสิ่ง เป็นเพลงช้าที่มีท่วงทำนองไพเราะ ฉันชอบการแบ่งคำในการร้องของเพลงนี้ มันดูลงตัวพอเหมาะพอดีกับจังหวะ ช่วยให้คนฟังซึมซับแต่ละคำพูด ตรึงใจกับแต่ละประโยคมากยิ่งขึ้น

เนื้อร้องในเพลงก็มีความสละสลวย ฟังแล้วเหมือนกับได้ประทับทุกคำเข้าไว้ในใจแบบแนบแน่น ลองฟังดูสิ “ฉันอยาก...ให้เธอได้รู้สักครั้ง ให้ใจของเธอได้ฟัง เธอทำให้ฉันได้มี...เวลาแสนดี” โอ้...ชวนใจละลาย มันโดนใจจริงๆ

ท่อนต่อไปนี่ยิ่งเพราะเข้าไปอีก “ยิ่งอยากให้รู้ในใจฉันมี มีเธอเอาไว้อยู่ตลอดทุกที่ เวลาที่ฉันไม่เหลือใคร ก็ยังมีเธอปลอบโยนหัวใจ” เป็นเพลงที่ยิ่งร้องยิ่งอิน หายสงสัยเลยว่าทำไมพี่น้อยถึงสามารถแสดงอารมณ์ออกมาเต็มที่ได้ขนาดนั้น

ด้วยเสียงร้องของพี่น้อย บวกเข้ากับเสียงกีตาร์ที่ฟังดูเวิ้งๆ ผสมความเหงา เศร้า และหน่วง ให้อารมณ์คล้ายกับการเฝ้าดูสีที่หยดลงไปในแก้วน้ำ หยดแรกอาจดูบางเบา เจือจาง พอเริ่มหยดต่อไป สีที่อ่อนจางนั้นก็เริ่มทวีความเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ นั่นล่ะ สิ่งที่ฉันรู้สึกในทุกครั้งที่ได้ฟังเพลงนี้

เมื่อมาถึงจุดพีคของเพลงตรงที่ร้องว่า “และจากนี้ ต่อจากนี้ จากวันนี้” ฉันนี่แทบอยากจะโบยบิน กระโดดแยกขากลางอากาศเหมือนอย่างพี่น้อยบ้าง แต่คิดอีกที อย่าดีกว่า ก็ขนาดพี่น้อยแกยังเคยกระดูกเท้าแตกจากการเล่นคอนเสิร์ตมาแล้วเลย

อีกหนึ่งเพลงจากวงพรูที่ฉันชอบ คือ Romeo & Juliet เหตุผลที่ชอบเพลงนี้ เพราะถูกใจเสียงกลองเป็นพิเศษ โดยอารมณ์เพลงจะคล้ายกันกับทุกสิ่ง เริ่มแบบนิ่มนวลด้วยเสียงของพี่น้อย คลอไปด้วยกีตาร์และเบส พร้อมเสียงกลองเบาสบาย จากนั้นน้ำเสียงและจังหวะของเพลงจึงค่อยๆ ทวีความหนักหน่วง

ประโยคที่ฉันชอบมากที่สุดในเพลงอยู่ตรง “วันเวลาที่เรานั้นคบกัน มันไม่ทำให้ใครยอมรับเลย ต้องเป็นอย่างนี้ ต้องทนเท่านั้น รู้ไหมว่า...” โดยเฉพาะน้ำเสียงของพี่น้อยตรงที่ร้อง “รู้ไหมว่า” พร้อมกันกับที่กลองเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ ฟังแล้วฟินมาก มันสื่อถึงความอึดอัดและกดดันภายในใจออกมาอย่างชัดเจน กี่ปีผ่านไป ฉันก็ยังคงปักใจกับสามคำนี้ และรู้สึกหลงรักในเสียงกลองไม่เปลี่ยนแปลง 

ปัจจุบันนี้ สมาชิกในวงทั้งสามคน ได้แก่ สุกี้ พี่ชายของพี่น้อย ผู้รับตำแหน่งมือกีตาร์, ยอดเถา มือเบส และคณิณ มือกลอง ต่างแยกย้ายไปทำงานตามสาขาที่ตัวเองถนัดกันแล้ว จะเหลือก็แต่พี่น้อยที่นอกจากจะบริหารงานโรงแรม ซึ่งเป็นธุรกิจของครอบครัว แกก็ยังคงมีผลงานเดี่ยวออกมาให้เหล่าแฟนเพลงได้หายคิดถึง

จำได้ว่าเคยดูคลิปจากรายการ นักผจญเพลง Song Hunter ที่พี่น้อยมาร้องเอาไว้ทั้ง ทุกสิ่ง และ Romeo & Juliet โดยมีเหล่ามิตรสหายนักดนตรีรุ่นน้องจากวงต่างๆ มาร่วมเล่นดนตรีให้ เห็นแล้วก็คิดถึงภาพความทรงจำของวงพรูในอดีต

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ยังคงเดิม ไม่เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา นั่นก็คือ พลังงานอันเต็มเปี่ยม จิตวิญญาณความเป็นศิลปิน รวมทั้งแววตาเปล่งประกายที่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเพียงใด ผู้ชายคนนี้ก็ยังคงเต็มที่กับการร้องเพลงและการแสดงบนเวทีเสมอ ไม่ต่างจากวันแรกที่ฉันได้รู้จักเขา...น้อย วงพรู

Source

Comments