ฉันไม่ใช่คนมีฝีมือในการเย็บปักถักร้อย ที่พอทำได้บ้างโดยไม่ลำบาก เห็นจะเป็นการเย็บกระดุมที่หลุดจากเสื้อผ้า ก็แค่นั้น แต่หากจะให้มานั่งปักผ้า ถักผ้าพันคอ อะไรเทือกนี้ คงไม่ใช่แนวสักเท่าไหร่
แต่ก่อนเวลาเรียนวิชา สลน (ย่อมาจาก “สร้างเสริมลักษณะนิสัย”) ที่ต้องถักผ้าพันคอ ปัก cross-stitch ส่งครู หลังจากลองขึ้นฐานเพื่อถักผ้าพันคอด้วยตัวเอง ฉันจึงค้นพบด้วยความรันทดใจว่า แทนที่จะออกมาเป็นแถวตรงสวยงามเหมือนตอนครูสอนในชั่วโมงเรียน ผ้าพันคอฝีมือฉันกลับมีรูปร่างบานออกเรื่อยๆ ดูคล้ายกระถางดอกไม้
เมื่อทนดูฝีมือการถักอันพิลึกกึกกือของตัวเองไม่ไหว ฉันเลยต้องรี่ไปหาแม่ที่มีฝีมือในการเย็บปักถักร้อย เพื่อให้แม่ช่วยสอน แต่ไปๆ มาๆ ก็มักจะลงท้ายด้วยการเนียนให้แม่ทำให้ซะเลย อืม...ช่างเป็นเด็กที่มีทักษะในการแก้ปัญหาดีจริงๆ (ดีบ้าบออะไร นี่มันเรียกโกงแล้วเฟร้ย)
จากเด็กประถมที่ให้แม่ช่วยถักผ้าพันคอส่งครูในวันวาน เมื่อเวลาผ่านไป จนกระทั่งถึงเวลาที่ฉันไปเรียนต่อ ต้องอยู่ห่างไกลบ้านเกิด วันหนึ่งเพื่อนร่วมบ้าน ผู้รักในงานประดิษฐ์ ได้เอ่ยปากชวนฉันถักผ้าพันคอ ด้วยความที่อยากรู้ว่าฝีมือของตัวเองมีการพัฒนาจากตอนประถมมากน้อยแค่ไหน ฉันจึงตอบตกลงอย่างง่ายดาย
ฉันและเพื่อนจึงพากันไปหาซื้อวัสดุ อุปกรณ์ที่จำเป็น มีทั้งไม้ถักนิตติ้ง รูปร่างกึ่งตะเกียบกึ่งตะปู ไหมพรมสีที่ถูกใจ ซึ่งกว่าจะเลือกได้ เราสองคนก็เดินวนเวียนอยู่ในร้านเกือบชั่วโมงเลยทีเดียว
เมื่อกลับบ้านมา ด้วยความบ้าเห่อของใหม่ เพื่อนจึงรีบเข้าเว็บแล้วเปิดดูการสอนถักผ้าพันคอในทันใด ฉันได้เรียนรู้ในตอนนั้นเองว่า อันที่จริงแล้ว การถักผ้าพันคอน่ะ มันก็ไม่ได้ยากเกินความสามารถตัวเอง (ซึ่งแกควรเรียนรู้ความจริงข้อนี้ตั้งแต่ตอนชั้นประถมแล้ว นี่อะไรกัน ดีเลย์ไปเป็นทศวรรษเชียว)
นั่งถักอยู่ประมาณสองอาทิตย์ล่ะมั้ง ในที่สุด ฉันก็ได้จับผ้าพันคอผืนแรกในชีวิตที่ถักสำเร็จได้ด้วยตัวเอง จำได้ว่าผ้าพันคอผืนนั้น มีสีเขียวอมฟ้า ไล่ระดับสีจากอ่อนไปเข้ม ซึ่งมันก็เป็นผ้าพันคอธรรมดาๆ ผืนหนึ่งนั่นแหละ แต่เมื่อบวกความภูมิใจในผลงานที่ตัวเองเป็นคนทำ จากสิ่งธรรมดา มันเลยดูพิเศษขึ้นมาทันที (ใจเย็นๆ ตั้งสติให้ดี นี่แกแค่ถักผ้าพันคอ ไม่ใช่สร้างจรวด)
ความประทับใจอีกอย่างระหว่างฉันกับผ้าพันคอผืนนั้น คือ การที่ฉันหอบหิ้วมันติดตัวไปด้วย ตอนที่เดินฝ่าลมหนาว เพื่อจะไปถ่ายรูปกับ Golden Gate Bridge สะพานแดงอันเด่นตระหง่าน หนึ่งในสัญลักษณ์สำคัญของ California
ฉันยังจำความรู้สึกในวันนั้นได้เป็นอย่างดี ทั้งความหนาวเย็นจากลมที่ตีเข้าหน้าเป็นระยะ ชวนให้นึกถึงเพลง San Francisco บทเพลงเก่าจาก Scott McKenzie (แต่ควรต้องปรับเนื้อเพลงเป็น “If you’re going to San Francisco, be sure to wear a scarf around your neck.”) อาการทึ่งกับความใหญ่โตของสะพานแห่งนี้ รวมไปถึงความดีใจที่ได้มาเห็นของจริงด้วยตาตัวเอง จากเดิมที่เคยเห็นแค่ในภาพยนตร์เท่านั้น
จำได้ว่าเพื่อนซึ่งเป็นคนพาเที่ยว แนะนำให้โยนเหรียญลงไปด้านล่าง ทำให้ฉันต้องค้นหาเหรียญที่มีติดตัวในขณะนั้นเป็นการใหญ่ ไหนๆ ก็มาถึงที่ ได้เห็นสะพานของจริงแล้วนี่นะ ไม่ได้โยนเหรียญ มันก็คงรู้สึกว่าไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ อ่ะ โยนซะหน่อยก็ได้ (แม้ในใจจะเสียดายตังค์ก็ตาม)
โยนเหรียญออกไปด้วยความอาลัยเล็กน้อย จากนั้นฉันก็เฝ้ามองเหรียญที่ตกลงสู่ผืนน้ำด้านล่าง เอิ่ม...ความจริงก็มองไม่เห็นตอนมันตกกระทบน้ำหรอก เพราะวันนั้นหมอกลงจัด มองอะไรไม่ชัด โยนเหรียญแรกไปเรียบร้อย ท่ามกลางสภาพอากาศมัวซัว แหม...ไม่ฟินเอาซะเลย ทำไมมันถึงไม่ได้ฟีลเหมือนในหนังล่ะ (หนังเรื่องอะไรฟระ) ฉันเลยอยากแก้ตัว เหรียญที่สองจึงมีอันต้องออกจากกระเป๋ากางเกงตามเหรียญแรกไปติดๆ
โธ่ถัง! น่าจะเดากันได้สินะ เหรียญที่สองน่ะ มันก็มีชะตากรรมไม่ต่างจากเหรียญแรก โยนลงไปไม่ทันไร มันก็ค่อยๆ เร้นกาย หายไปกับกลุ่มหมอก เมื่อนั้นฉันจึงเริ่มรู้สึกโง่ๆ ขึ้นมาบ้างแล้ว (ควรรู้ตัวตั้งแต่ตอนโยนเหรียญแรกป่าวแก) เลยเป็นอันจบมหกรรมการโยนเหรียญในตอนนั้นเอง
รู้สึกว่าทริปคราวนั้น นอกจากได้เห็น Golden Gate แล้ว เพื่อนเจ้าถิ่นยังพาฉันไปกินข้าวมันไก่ร้านเด็ดในเมืองด้วย หูย...อร่อยสมกับที่มันคุยให้ฟัง ข้าวมันรสดี ไก่ก็เนื้อนุ่ม แล้วยังมีน้ำซุปกลมกล่อมอีก ฟิน ฟิน ฟิน
เวลาแห่งความฟินก็ได้ผ่านมานานมากแล้ว จนวันนี้ ฉันยังคงเก็บผ้าพันคอผืนนั้นไว้อยู่ (แต่อาจจะต้องขอเวลานึกสักหน่อยว่าเก็บไว้ในตู้ไหนกันหนอ) นึกถึงผ้าพันคอขึ้นมาครั้งใด แน่นอนว่าจะต้องมีภาพของสะพานสีแดงที่ยืนหยัดท่ามกลางม่านหมอก สายลมหนาวเย็นที่เสียดแทงทะลุผ่านเสื้อผ้า และเหรียญ quarter สองเหรียญ ตามมาให้ได้ระลึกถึง ราวกับเป็นสิ่งที่แยกจากกันไม่ได้
นับเป็นความทรงจำในแบบกึ่งอุ่นกึ่งเย็น อุ่นเพราะได้ผ้าพันคอผืนพิเศษที่ถักเองกับมือ มาห่มคลุมป้องกันความเหน็บหนาว เย็นจากสายลมที่ปะทะมาโดนหน้า หรือบางทีอาจเป็นเพราะความเสียดายเจ้าสองเหรียญที่โยนลงไปก็เป็นได้
เหอะๆ งก!
Source
Comments
Post a Comment