The Sound of Music


ความรักในเสียงดนตรีของฉันนั้น ส่วนหนึ่งน่าจะได้มาจากแม่นี่เอง แม่ของฉัน เป็นผู้หญิงอารมณ์ดี ชอบร้องเพลง ไม่ว่าจะล้างจาน กวาดบ้าน หรือทำกับข้าว แม่สามารถแสดงคอนเสิร์ตไปด้วยได้เสมอ

หนึ่งในภาพคุ้นตาสมัยเด็ก เป็นภาพแม่ที่กำลังทำงานบ้าน ขณะกวาดบ้านไป แม่ก็เปล่งเสียงร้องเพลงขับกล่อมฉันและน้องไปด้วย (แม่จ๋า แบบว่าลูกยังไม่ได้รีเควสเพลงเลยนะ)

โดยแต่ละเพลงที่แม่ร้องให้ฟังนั้น พวกเรามักจะไม่ได้ฟังจนจบเพลงหรอก เพราะแม่ฉันเป็นพวกเน้นอารมณ์ความรู้สึกในการร้องมากกว่าจะมาโฟกัสที่เนื้อเพลง ร้องผิดถูกยังไง แม่ไม่ซีเรียส จบหรือไม่จบก็ไม่ต้องไปสนใจ (จำเนื้อเพลงไม่ได้ ว่างั้น) แต่ท่าทางการร้องต้องได้ อินเนอร์จัดเต็ม

จำได้ว่าฉันเคยเปิดดูอัลบั้มภาพสมัยแม่ยังสาว ทำให้ทราบว่าตอนยังเรียนอยู่นั้น แม่เคยเล่นละครกับเพื่อนร่วมห้องด้วย ในภาพถ่ายใบหนึ่ง เป็นภาพแม่ในชุดยาวกรอมเท้า กรุยกราย กำลังหันไปพูดคุยกับเพื่อนอย่างออกรส คาดว่านั่นคือหนึ่งในบทบาทการแสดงที่ได้รับ

จะด้วยเหตุผลนี้หรือเปล่าก็ไม่ทราบได้ อดีตนักแสดงประจำห้องในวันวาน เลยยังออกท่าทางประหนึ่งนักร้อง diva เวลาขับขานเพลงให้ลูกๆ ฟัง หนึ่งในเพลงที่แม่ร้องและฉันประทับใจ น่าจะเป็นตอนที่แม่สวมบทบาทเป็น Maria แม่ชีฝึกหัด (อืม...ไม่แน่ใจว่าเค้าเรียกกันแบบนี้รึป่าว หากผิดพลาดประการใด ขออภัยมา ณ ที่นี้) จากภาพยนตร์เพลงอันโด่งดังเรื่อง The Sound of Music

ในครั้งนั้น ขณะที่พวกเราพี่น้อง นั่งกระจุกกันอยู่บนเตียง แม่ที่กำลังจะเริ่มกวาดห้อง เกิดเปลี่ยนใจจับไม้กวาดพิงไว้ที่ผนังห้อง แล้ววิ่งโผมาที่เตียง ประหนึ่งเตียงนอนเป็นทุ่งหญ้าเขียวขจีแสนกว้างใหญ่ พร้อมกวาดแขนทั้งสองข้างไปรอบห้อง จากนั้นเสียงร้องก็ตามมา “I gooooo to the hills…” หยุดชะงักไปพักหนึ่ง (คาดว่าจังหวะนั้น แม่คงกำลังนึกเนื้อร้องท่อนต่อไปอยู่) ผ่านไปแป๊บนึง ท่อนต่อมาก็ดังขึ้น “…when my heart is lonely.”

ส่วนฉันและน้อง สองชีวิตที่อยู่บนเตียงในขณะนั้น แม่อาจจะติ๊ต่างเอาว่าเป็นดอกไม้ ใบไม้บนทุ่งหญ้าล่ะมั้ง บรรดาหมอนข้างเป็นขอนไม้ใหญ่ อะไรเทือกนั้น หลังจากที่แม่ร้องเพลงนี้ด้วยประโยคเต็มๆ ได้ประโยคเดียว จากนั้นพวกเราก็ได้ยินเพียงเสียงฮัมไปตามทำนองเพลง จะมีแค่บางคำที่ผลุบๆ โผล่ๆ ออกมาเป็นระยะ อย่างเช่น “...before” หรือว่า “…with the sound of music” เป็นต้น

แน่นอนว่าแม่จำเนื้อร้องไม่ได้ตามเคย และหันมาพึ่งการดำน้ำ ซึ่งเป็นความเชี่ยวชาญประจำตัวแม่อีกแล้ว ยังดีที่สามารถจบเพลงนี้ได้ด้วยประโยค “and I’ll sing once more” แบบตรงจังหวะ

เมื่อเพลงจบ กลับมาสู่โลกความเป็นจริง ดอกไม้ ใบไม้ (ซึ่งก็คือลูกทั้งสองคน) ที่ฟังแม่ขับกล่อมแบบกระท่อนกระแท่น ต่างก็รีบลุกออกจากทุ่งหญ้ามโนของแม่ (มันคือเตียงนอน) ออกไปสู่โลกกว้างโดยพลัน

The Sound of Music เป็นภาพยนตร์ที่แม่แนะนำให้ลูกๆ ได้ดูตั้งแต่เมื่อครั้งพวกเรายังละอ่อน นี่เป็นหนึ่งในภาพยนตร์เพลงที่เป็นอมตะ ฮิตตั้งแต่คนรุ่นแม่มาสู่เด็กรุ่นลูก เพลงประกอบในเรื่อง ล้วนมีความไพเราะ ฟังติดหูแทบทุกเพลง

ดารานักแสดงในเรื่องก็เล่นได้สมบทบาท ไม่ว่าจะเป็น Christopher Plummer ผู้รับบท Captain Georg von Trapp และบรรดาลูกๆ ทั้งเจ็ดคนของกัปตันที่น่ารัก น่าเอ็นดูสมวัยของแต่ละคน

ที่สำคัญคือ Julie Andrews นางเอกของเรื่องในบท Maria หญิงสาวผู้ร่าเริง สดใส ผู้มีลักษณะนิสัยตรงกันข้ามกับกัปตัน ชายเจ้าระเบียบ ทุกอย่างในชีวิตต้องเป๊ะ มีวินัย เคร่งครัดในกฎเกณฑ์ แม้กระทั่งกับลูกทั้งเจ็ดของตนเอง ยกตัวอย่างเช่น การเป่านกหวีดเรียกลูกๆ เมื่อต้องการพบและพูดคุย เป็นต้น

เมื่อหญิงสาวผู้สดใส มาพบกับชายเป๊ะไปทุกกระเบียดนิ้ว พ่วงด้วยลูกๆ ที่มีความแสบซนทั้งเจ็ด เรื่องราวอันสนุกสนานจึงเกิดขึ้น เชื่อว่าภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นภาพยนตร์ในดวงใจของใครหลายคน มีความลงตัวทั้งด้านของนักแสดง เพลงและดนตรีประกอบ รวมไปถึงทิวทัศน์อันชวนฝันที่ปรากฏในเรื่อง เรียกว่าดีงามไปทุกสิ่ง

อย่างที่บอกว่าเพลงจากภาพยนตร์เรื่องนี้ เป็นเพลงที่ติดหู จำง่าย ชวนให้ร้องตามนักแหละ เพลงทั้งหลายในเรื่อง เป็นผลงานการประพันธ์ร่วมกันของ Richard Rodgers และ Oscar Hammerstein II ซึ่งเพลงที่ฉันชอบ มีอยู่หลายเพลงเลยล่ะ เวลาได้ยินเสียงเพลงเหล่านั้น พาให้นึกถึงเรื่องราวและตัวละครในภาพยนตร์ไปด้วย อย่างเช่น

The Sound of Music – แน่นอนว่าเพลงเปิดตัวภาพยนตร์เรื่องนี้ พร้อมภาพของ Julie Andrews ที่กำลังเดินอยู่บนเนินเขาอันกว้างใหญ่ จากนั้นเธอก็หมุนไปรอบตัวหนึ่งรอบ พร้อมร้องว่า “The hills are alive with the sound of music. With songs they have sung for a thousand years.” เป็นฉากคลาสสิก ตรึงใจผู้ชมทุกเพศทุกวัย (ที่มาของแรงบันดาลใจในการสวมบทบาทของแม่ฉันไงล่ะ)

Maria – เพลงนี้ถูกร้องโดยเหล่าแม่ชีในโบสถ์ที่พากันบ่น Maria นางเอกของเรื่อง โดยจะพูดถึงพฤติกรรม “แหวกขนบ” แม่ชีทั่วไปของนางสาว Maria ส่วนที่ทำให้ฉันขำที่สุด ก็ตรงท่อนที่บรรยายถึง Maria ว่า เธอเป็นผู้สายเสมอกับทุกสิ่ง ยกเว้นมื้ออาหาร เมื่อได้ทราบวีรกรรมต่างๆ ของเธอผู้นี้ เราจะอดใจไม่ไหว ต้องร้องเพลงไปพร้อมกับบรรดาแม่ชีร่วมโบสถ์ “How do you solve a problem like Maria?” และเพลงนี้ยังมีการนำมาร้องอีกครั้งในฉากสำคัญในชีวิตของ Maria อีกด้วย บรรยากาศในฉากนั้น รวมทั้งการร้องในแบบประสานเสียง ฟังแล้วตราตรึงใจมาก

Sixteen Going on Seventeen – เป็นเพลงที่ลูกสาวคนโตของกัปตัน ร้องร่วมกับชายหนุ่ม คนส่งจดหมายที่เธอหลงรัก เนื้อเพลงพูดถึงหญิงสาวที่อายุสิบหกย่างเข้าสิบเจ็ดปี โดยชายหนุ่มที่มีอายุมากกว่าเธอหนึ่งปีนั้น ได้บอกกับเธอว่า เขาที่มีอายุสิบเจ็ดกำลังจะสิบแปด จะเป็นผู้ดูแลเธอเอง ฟังแล้วมันก็น่ารักดี

My Favorite Things – พูดถึงเพลงนี้ จะนึกถึงฉากที่เด็กทั้งเจ็ดคน ต่างทยอยวิ่งเข้ามาในห้องของ Maria ทีละคนสองคนจนครบทีม เพื่อหลบเสียงฟ้าร้องดังสนั่นในยามค่ำคืน จากนั้น Maria จึงได้บอกเคล็ดลับในการบรรเทาความหวาดกลัว โดยการนึกถึงสิ่งที่แต่ละคนชอบ ฉันชอบนักแหละ ในตอนที่เพลงพูดถึง “Brown paper packages tied up with strings” ถือเป็นสิ่งที่ฉันโปรดปรานเช่นเดียวกัน

Do-Re-Mi – หากพูดถึง The Sound of Music โดยไม่พูดถึงเพลงนี้ คงต้องถือว่าไม่ครบถ้วนกระบวนความแน่ๆ นี่เป็นเพลงเด่นของเรื่อง เป็นฉากที่เด็กๆ ทั้งหลาย ปรากฏตัวในชุดไปเที่ยวที่ตัดเย็บโดยฝีมือของ Maria ที่พีคคือผ้าที่ใช้ในการตัดเย็บน่ะ ก็ผ้าม่านในห้องพักของนางเอกนั่นแหละจ้า เพลงนี้เหมือนเป็น trademark ของเรื่องนี้ไปแล้ว พร้อมภาพ Maria ที่แบกกีตาร์พาเด็กๆ ไปเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ เช่น สะพาน น้ำพุ ตลาด รวมไปถึงการสอนเด็กๆ ให้ร้องเพลงบนเนินเขา แสนจะมีสีสันและสนุกสนานเป็นอย่างยิ่ง เพลงนี้จึงเป็นเพลงที่ฉันชอบที่สุดในเรื่อง

The Lonely Goatherd – เพลงนี้อยู่ในฉากที่ Maria และเด็กๆ แสดงละครหุ่นชักใยให้กัปตันผู้เป็นพ่อ (ว่าที่) แม่เลี้ยง และเพื่อนของกัปตันได้ชมกัน เสียงร้องที่เป็นเอกลักษณ์ “Lay ee odl lay ee odl lay hee hoo” ส่งให้เพลงนี้เป็นที่จดจำได้ง่าย นอกจากนี้ บางส่วนของเนื้อร้องและทำนองเพลงนี้ ยังได้มีการนำไปใช้ในเพลง Wind It Up ของ Gwen Stefani ด้วยนะ (นักร้องนำจากวง No Doubt เจ้าของเพลงดังอย่าง Don’t Speak ไง)

Edelweiss – อีกหนึ่งเพลงโปรดของฉัน เป็นเพลงที่มีท่วงทำนองอ่อนหวาน ละมุนใจ ซึ่งผู้ชมจะได้เห็นกัปตันเจ้าระเบียบ นั่งเกากีตาร์ พร้อมร้องเพลงให้ลูกๆ ฟัง ดูแล้วอบอุ่น นอกจากนี้ นี่ยังเป็นบทเพลงที่ทั้งครอบครัวได้ร่วมกันร้องอีกครั้งในช่วงท้ายของภาพยนตร์ด้วย ฉากนั้นทำเอาฉันน้ำตาไหลด้วยความซาบซึ้งใจเลยทีเดียว

So Long, Farewell – ฉันได้เรียนรู้ศัพท์เกี่ยวกับการกล่าวคำอำลาเพิ่มมากขึ้นก็จากเพลงนี้นี่แหละ ขนมาทั้ง so long, farewell, auf Wiedersehen, adieu และ goodbye ฉากที่น้องเล็กสุด ค่อยๆ ถัดตัวขึ้นบันไดที่อยู่กลางบ้านไปทีละขั้น พร้อมกล่าวคำอำลาแขกในงานเลี้ยง ก่อนจะขอตัวไปนอนนั้น เป็นภาพที่น่าเอ็นดูจริงๆ

Climb Ev'ry Mountain – บทเพลงที่คุณแม่อธิการร้องให้กำลังใจ Maria ที่กำลังอยู่ในโหมดสับสน จนต้องหลบกลับมาพักใจที่โบสถ์ ช่วงท้ายของเพลงนี้ ต้องขึ้นเสียงสูงมาก และคุณแม่อธิการก็ร้องได้อย่างน่าประทับใจ ขอปรบมือให้กับเสียงอันไพเราะและทรงพลังของท่าน

Something Good – จำได้ว่าฉากที่ร้องเพลงนี้ ชวนให้กรี๊ดมาก แบบลุ้นมาตั้งนาน ในที่สุดก็สมหวังซะทีนะ นี่ก็เป็นอีกหนึ่งเพลงที่ให้อารมณ์อ่อนหวาน เนื้อร้องก็มีความหมาย ฉันชอบในท่อนที่ร้องว่า “So somewhere in my youth or childhood, I must have done something good.” เป็นเพลงที่มาในจังหวะที่เหมาะสม สาวๆ ดูแล้วคงฟิน ตายสงบ ศพเป็นสีชมพู

สิ่งที่ฉันจำได้อีกอย่างหนึ่ง คือ The Sound of Music เป็นภาพยนตร์ที่แต่ก่อน มักนำออกมาฉายให้ชมทางโทรทัศน์ในวันขึ้นปีใหม่หลายต่อหลายปีด้วยกัน จนเหมือนเป็นธรรมเนียมปฏิบัติไปแล้วว่า หนึ่งในกิจกรรมต้อนรับปีใหม่สำหรับครอบครัวฉัน คือการล้อมวงนั่งดู Maria กัปตันและลูกๆ

ขณะที่ดูก็ได้เพลิดเพลินไปกับเรื่องราวและบทเพลงหลายต่อหลายเพลง เป็นภาพยนตร์ที่เมื่อดูจบ จะเกิดความอิ่มเอมใจ และได้บ่มเพาะความรักในเสียงดนตรีไว้ในหัวใจของผู้ชม จนต้องลุกขึ้นมาร้อง Do, re, mi, fa, so, la, ti ด้วยความเบิกบาน

เรื่องเล่าของฉันในวันนี้ จึงเป็นการเขียนแด่ The Sound of Music บ่อเกิดแห่งแรงบันดาลใจให้แม่เปิดคอนเสิร์ตให้ฉันได้ฟังเมื่อครั้งยังเป็นเด็ก ขอบคุณที่มอบรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ ความสนุกสนาน เพลิดเพลินใจให้กับฉันตลอดมาและตลอดไป

“When you know the notes to sing, you can sing most anything.”


Source
ภาพประกอบ: Photo by Bruno Glätsch from Pexels

Comments