แด่วันฟ้ามัว


ช่วงเย็นของเมื่อวานนี้ แถวบ้านฉันมีฝนตกลงมาปรอยๆ คิดว่าน่าจะมีหลายพื้นที่เหมือนกันนะที่มีฝนตก โอ...นี่แปลว่าเราได้เข้าสู่หน้าฝนอย่างเป็นทางการแล้วใช่หรือไม่

มันเป็นความรู้สึกก้ำกึ่ง ระหว่างความดีใจกับความไม่ (ค่อย) ดีใจ ในส่วนของความดีใจนั้น เป็นเพราะต่อจากนี้ คงไม่ต้องผจญกับความร้อนแผดเผา แบบที่เล่นเอาต้องปาดเหงื่อวันละหลายรอบแล้ว แต่ขณะเดียวกัน ใจก็คอยกังวลถึงหน้าฝนที่ใกล้เข้ามาทุกที

อากาศตอนหน้าฝนน่ะ มันก็ดูเหมือนว่าน่าจะสบายกว่าฤดูซ้อมตกนรกแหละนะ (หมายถึงฤดูร้อนเมืองไทยไง) แต่บางครั้งบางหน เราอาจต้องสัมผัสกับความอบอ้าวก่อนฝนจะมาเยือน ซึ่งก็ทำให้รู้สึกไม่สบายตัวได้พอประมาณ

วันฝนตก คงเป็นวันที่อากาศแสนจะเป็นใจ น่านอนสำหรับคนที่ไม่ต้องออกไปไหน ได้นอนหลับอุตุสบายอารมณ์ มองสายฝนเม็ดเล็กๆ ตกกระทบบานหน้าต่าง เพลินใจจริงเชียว แต่กับมนุษย์ออฟฟิศทั่วไปแล้ว วันฝนตกอาจถือเป็นนรกโหมดเย็นฉ่ำดีๆ นี่เอง ไหนจะต้องฝ่าสายฝน ไหนจะสภาพการจราจรที่ปกติก็ติดขัดอยู่แล้ว มาเจอฝนตกนี่ยิ่งติดหนึบ สาหัสกว่าเดิมหลายเท่านัก

สำหรับคุณแม่บ้านทั้งหลาย สายฝนอาจสร้างความกังวลใจในเวลาซักผ้า เอาผ้าเข้าเครื่องไป มองท้องฟ้าครึ้มไปด้วยความหวาดระแวง พร้อมกับคิดว่าควรจะตากผ้าตรงไหนกันดีหนอ ผ้าถึงจะแห้ง รอดพ้นจากสายฝนกระหน่ำ และไม่เหม็นอับ แต่ถ้าวันไหนฝนตกมาแบบไม่ลืมหูลืมตา ก็ปลงซะเหอะว่าผ้ามันคงไม่แห้งหรอก รันทดใจเหลือเกิน

เช้านี้เมื่อฉันตื่นมา พบว่าท้องฟ้ายังคงมีความครึ้มอยู่หน่อยๆ ซึ่งน่าจะมาจากการที่ฝนตกปรอยๆ อย่างต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงเย็นวานจนถึงตอนกลางคืน ทำให้อากาศในเช้าวันนี้ มีความละมุนต่อมนุษย์อย่างฉันมากขึ้น

แต่...ความอึมครึมเยี่ยงนี้ มักมาพร้อมกับอาการง่วงเหงาหาวนอน ไร้ซึ่งความกระปรี้กระเปร่าในการทำกิจกรรมใดๆ อย่างไรก็ตาม ฉันก็ยังคงต้องทำกิจวัตรประจำวันอยู่ดี นั่นคือการซักผ้า ตากผ้า

ขณะที่นำผ้าออกมาตากที่ราว ใจก็ระแวงอย่างหนักกับสายฝนที่ (อาจจะ) ตกลงมา ทำให้ผ้าที่ฉันซักอย่างสะอาดและหอมฟุ้ง ไม่แห้งสักที (แกไม่ได้ซักซะหน่อย เครื่องเป็นคนซัก นั่นแหละ ยังไงคนกดปุ่มสั่งให้เครื่องทำงานก็คือฉันนะ เอิ่ม...พอเหอะแก คนอะไร ทะเลาะกับตัวเองอยู่นั่น)

ตากผ้าเสร็จเรียบร้อย แต่ความกังวลเกี่ยวกับสายฝนก็ยังคงอยู่ ไม่ได้จบลงไปพร้อมกับการซักและตากผ้า ฉันจึงต้องพึ่งหมอดู เฮ้ย! ไม่ใช่แระ เอาใหม่ๆ เพื่อให้เบาใจในระดับหนึ่ง ฉันเลยหยิบมือถือ เพื่อเช็คสภาพอากาศ อืม...แต่จะว่าไปเนี่ย การพยากรณ์อากาศ มันก็น่าจะคล้ายกับการดูหมออยู่นะ เปลี่ยนจากดวงชะตาของคน เป็นสภาพดินฟ้าอากาศแทนไงล่ะ

เอาล่ะ ลืมลูกแก้วพยากรณ์และแม่หมอไปก่อน กลับมาพูดถึงสภาพท้องฟ้าในวันนี้ได้แล้ว เมื่อได้เห็นการคาดการณ์ว่าฝนอาจจะตกลงมาตอนบ่ายสาม (ความเป็นไปได้ประมาณ 30%) นั่นจึงทำให้ฉันต้องคอยเฝ้ามองท้องฟ้าอยู่เป็นระยะ พร้อมกับภาวนาในใจไปด้วยว่า อย่าตกลงมาเลยนะจ๊ะ ฝนจ๋า พี่ขอตากผ้าให้แห้งสนิทก่อนละกัน

เป็นอันว่าวันนี้ ฉันคงต้องเปิดม่านหน้าบ้านเช็คสภาพฟ้าฝน พร้อมกับเดินไปจับเสื้อผ้าที่ราวตากหลายครั้งหลายหนเป็นแน่แท้ และเพื่อเป็นการปลอบใจตัวเองในวันฟ้ามัว ขอเปิดเพลงฟังให้ผ่อนคลายซะหน่อยดีกว่า

หนึ่งเพลงที่เหมาะมากในสภาพอากาศอึมครึมเช่นนี้ ได้แก่ เพลงของนูโว วงขวัญใจฉันในวัยเด็ก ชื่อเพลง “ไม่มีคำตอบ” จากอัลบั้ม บุญคุณปูดำ  ซึ่งเพลงนี้ มีทำนองเหงาเศร้า ผสมความฟุ้งนิดๆ ชวนให้ใจลอยละล่องไปไกล ฟังแล้วมันเข้ากับบรรยากาศการเฝ้าระวังเสื้อผ้าที่ตากไว้เอามากๆ

เนื้อร้องช่วงต้นของเพลงที่ว่า “เหตุอันใดจึงมีแสงจันทร์ เมื่อตะวันอำลาจากไป เมฆบนฟ้าลอยมาจากแห่งไหน ลมโชยพลิ้วมาจากแห่งใด แล้วใยฝนจึงตกมา” ทำให้สามารถจินตนาการภาพของตัวเองได้ไม่ยาก หากฝนเกิดตกลงมาจริงๆ ฉันคงต้องรีบวิ่งแข่งกับสายฝน มือก็เร่งเก็บผ้าที่ตากไว้เข้าบ้าน ขณะเดียวกัน ปากก็ครวญเพลงนี้ ไถ่ถามพระพิรุณด้วยความคับข้องใจ (โถ...อาการระแวงฟ้าฝน ทำให้คนเราเป็นได้ถึงเพียงนี้เลยเชียวหรือ)

ในช่วงท้ายของเพลงกับประโยค “เหตุใดฉันจึงต้องหวั่นไหว เฝ้าแต่ถามว่าทำไม สิ่งที่ฉันไม่เข้าใจ ไม่มีวันจะรู้ ฮื่อ ฮือ หืมมมม” ฟังแล้วก็ชวนให้คิด (เพ้อเจ้อ) ว่า บางทีฝนกับเสื้อผ้าที่ซักเสร็จใหม่ๆ อาจมีชะตาไม่ต้องกันก็เป็นได้ เหอะๆ มโนไปไกลสุดกู่มากเลยแกเนี่ย

ลุ้นกับฝนฟ้าอากาศไป ฟังเพลงนี้ไปด้วย ความกังวลใจก็คงลดลงไปได้บ้าง งั้นฉันขอลาไปเฝ้าเสื้อผ้าที่ตากไว้ก่อนแล้วกัน ภาวนาให้เสื้อผ้าแห้ง รอดพ้นสายฝนไปได้ด้วยดีทีเถิด เพี้ยง!

Source

Comments