สมัยประถม-มัธยมต้น จะมีอยู่หนึ่งวันในรอบสัปดาห์ที่เด็กนักเรียนทั้งหลายแต่งกายต่างไปจากวันอื่นๆ โดยเด็กผู้ชายอยู่ในชุดสีกากี ส่วนเด็กผู้หญิงมาในชุดเขียวผูกผ้าพันคอสีเหลืองสดใส ใช่แล้วค่ะ นั่นคือวันที่มีเรียนวิชาลูกเสือ-เนตรนารีนั่นเอง
จากการนั่งเรียนในห้องเรียน เมื่อถึงคาบลูกเสือ-เนตรนารี เหล่านักเรียนจะต้องออกจากตึกเรียน แล้วเปลี่ยนสถานที่เรียนเป็นกลางแจ้ง อาจจะเป็นตรงสนามหญ้า หรือใต้ต้นไม้ใหญ่ ประมาณว่าให้รู้สึกใกล้ชิดกับธรรมชาติ
เนื้อหาที่เรียน แน่นอนว่าไม่ใช่การนั่งอ่านเขียนเหมือนตอนอยู่ในห้องเรียน แต่จะออกไปทางแนวผจญภัย สอนวิธีใช้ชีวิตกลางแจ้งซะมากกว่า อย่างหนึ่งที่ฉันจำได้แม่นเลยคือ การเรียนรู้วิธีผูกเงื่อนชนิดต่างๆ ที่เบสิคสุดเห็นจะเป็น เงื่อนพิรอด (แต่ตอนนี้น่ะเหรอ ขอสารภาพว่าลืมไปหมดแล้วว่าผูกยังไง)
คุณครูจะแบ่งนักเรียนเป็นกลุ่ม กลุ่มละไม่เกินสิบคน จากนั้นนักเรียนแต่ละกลุ่มจึงทำการแยกย้าย สับเปลี่ยนหมุนเวียนไปเข้าฐานต่างๆ ที่จะมีครูคอยประจำฐาน และสอนนักเรียนไปตามหัวข้อที่ได้กำหนดไว้ โดยในแต่ละกลุ่ม จะมีการแต่งตั้งหัวหน้าหมู่ และรองหัวหน้าหมู่เพื่อทำการดูแลสมาชิกภายในกลุ่ม
สิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับการเรียนวิชานี้ นั่นคือ การเข้าค่าย โรงเรียนจะพานักเรียนออกต่างจังหวัด นักเรียนทุกคนในระดับชั้นนั้นต้องไปเข้าร่วม เรียกว่าเหมารถบัสไปหลายๆ คันเลย สนุกดี
เหล่าลูกเสือ-เนตรนารีต้องทำกิจกรรมหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการเดินป่า ตั้งแคมป์ (เหมือนจำได้ว่ามีการสอบวิธีการตั้งเต็นท์ด้วย) ลุยโคลน หุงหาอาหารด้วยตัวเอง เป็นต้น
ฉันว่าส่วนที่สนุกที่สุดในการเข้าค่าย น่าจะเป็นตอนทำอาหารนี่แหละ นักเรียนแต่ละกลุ่มจะได้รับการแจกจ่ายวัตถุดิบจำเป็นในการประกอบอาหาร จำพวกข้าวสาร น้ำมัน ไข่ ผัก ฯลฯ
จากนั้นแต่ละกลุ่มก็แยกย้ายกันไปทำกับข้าว ตอนนี้แหละที่น่าสนุก เพื่อนคนไหนหน่วยก้านดี ดูท่าว่าจะทำกับข้าวคล่อง จะต้องรับบทบาทแม่ครัวจำเป็น ทั้งนี้ อาจจะมีการแบ่งงานระหว่างสมาชิกภายในกลุ่ม อย่างเช่นสองคนนี้รับหน้าที่หุงข้าวไปนะ อีกคนทอดไข่ อีกสองคนผัดผัก อะไรแบบนี้ ถือเป็นการเรียนรู้ทักษะการทำงานร่วมกัน ฝึกความรับผิดชอบจากหน้าที่ที่ตนเองได้รับมอบหมายให้ทำ
ทุกหน้าที่ล้วนสำคัญด้วยกันทั้งสิ้น เพราะในเมื่อทำอาหารกันเอง ก็ต้องกินเจ้าอาหารเหล่านั้นเองด้วยนะจ๊ะ ดังนั้น อย่าได้ทำเป็นเล่นไป มั่วก็ไม่น่าจะดี เพราะสุดท้ายอาหารเหล่านั้น ยังไงก็ต้องลงท้องพวกเราอยู่ดีนั่นแหละ
แม้ว่าข้าวที่หุงอาจจะเปียกแฉะ ไข่เจียวมีรอยไหม้เกรียมไปบ้าง (บางกลุ่มอาจจะเกรียมจนเกือบไหม้) ผัดผักรสชาติจืดชืด ไร้รสชาติ เพราะลืมเติมเครื่องปรุง แต่ด้วยความที่ทุกคนผ่านการผจญภัยมาแล้วทั้งวัน จนพลังงานในตัวเริ่มร่อยหรอลงทุกที นั่นจึงทำให้สมาชิกทุกคนในกลุ่มต่างก็นั่งล้อมวง กินอาหารมื้อนั้นกันด้วยความหิวโหย ไม่ได้ให้ความสนใจเรื่องรสชาติมากเท่าไหร่
ข้าวมื้อนั้น น่าจะห่างไกลจากความอร่อยไปเยอะ แต่ก็ถือเป็นมื้อที่น่าประทับใจ ก็จะมีสักกี่หนกันที่ได้นั่งเคี้ยวข้าวแฉะๆ เฝ้ามองผัดผักในจานที่มีขนาดเล็กบ้างใหญ่บ้าง กินไข่เจียวขอบไหม้เกรียมไปพร้อมกับเพื่อนร่วมทีม (คติพจน์ประจำวันนั้น ได้แก่ เมื่อลงกระทะใบเดียวกัน ก็ประสบชะตากรรมแบบเดียวกัน)
ล้อมวงกินข้าวไป พร้อมกับการพูดคุยขำขันสกิลการทำกับข้าวระดับเด็กอนุบาลเข้าครัวของพวกเราไปด้วย เมื่อการเข้าค่ายจบลง ฉันเชื่อว่าอาหารมื้อนั้นน่าจะอยู่ในความทรงจำของใครหลายๆ คน อย่างน้อยก็มีฉันคนหนึ่งล่ะนะ ที่ยังคงจดจำภาพความวุ่นวายโกลาหลปนความสนุกสนานที่พบเจอในวันนั้นได้จนกระทั่งวันนี้
ถือเป็นหนึ่งในความทรงจำที่สร้างรอยยิ้มให้ฉันได้ทุกครั้งเมื่อนึกถึง พร้อมกับกลิ่นของไข่เจียว (เกือบ) ไหม้และเสียงพูดคุยโหวกเหวกเป็นแบ็คกราวน์
Source
ภาพประกอบ: Photo by Dominika Roseclay from Pexels
Comments
Post a Comment