สมัยยังเด็ก เวลาที่ฉันมีโอกาสได้กลับไปเที่ยวบ้านเกิดพ่อจ๋าแถวภาคใต้ จะรู้สึกตื่นเต้นทุกครั้ง ความตื่นเต้นแรกคือการได้นั่งรถทัวร์ แหม...เด็กขนาดนั้น ได้พบเจออะไรที่แปลกไปจากชีวิตประจำวันตามปกติ มันก็ต้องตื่นเต้นเป็นธรรมดาแหละ
สิ่งที่มาคู่กันกับรถทัวร์คือ อาหารกล่อง หลังจากรถแล่นออกจากสถานีต้นทางไปได้สักพัก พนักงานประจำรถทัวร์จะนำอาหารกล่องมาเสิร์ฟให้กับผู้โดยสาร ภายในกล่องจะมีน่องไก่ทอดเล็กๆ หนึ่งชิ้น กับขนมหวานอะไรสักอย่างด้วยมั้ง จำไม่ค่อยได้แล้ว
ตัวฉันน่ะ ไม่ได้ชอบกินอาหารในกล่องหรอก แต่เหมือนเจ้าสิ่งนี้มันช่วยเสริมสร้างบรรยากาศของการออกมาเที่ยวให้เด่นชัดมากขึ้นไง ทันทีที่ยื่นมือไปรับกล่องจากพนักงานรถทัวร์ แม้จะรู้ทั้งรู้ว่าข้างในกล่องก็คงไม่พ้นน่องไก่แสนเย็นชืด และขนมหน้าตาไม่ค่อยน่ากิน แต่ก็ยังรีบแกะเปิดฝากล่องออกดูด้วยความกระตือรือร้น
จากนั้นคนขับก็จะรอให้ผู้โดยสารนั่งทานของว่างยามดึกกันไปสักพัก แล้วจึงเริ่มหรี่ไฟให้เหลือเพียงแสงสีส้มสลัวๆ เพื่อให้ผู้โดยสารเริ่มเข้านอน พักผ่อนกันตามอัธยาศัย
รถแล่นไปเรื่อยๆ มีหยุดพักตามปั๊มน้ำมัน เพื่อให้ผู้โดยสารแวะเข้าห้องน้ำบ้าง จนล่วงเข้าวันใหม่ ถ้าจำไม่ผิด ส่วนมากจะเป็นเวลาประมาณตีสองตีสามล่ะมั้ง รถจึงจะจอดให้ผู้โดยสารลงไปทานข้าวต้มโต้รุ่ง
ฉันกับน้องมักจะถูกปลุกให้ลงไปทานข้าว รวมทั้งออกไปยืดเส้นยืดสายจากการนั่งหลับในรถเป็นเวลานาน เมื่อเดินลงจากรถในสภาพงัวเงียเต็มที ตักข้าวต้มอุ่นๆ เข้าปากด้วยความสะลึมสะลือ เป็นการกินแบบงงปนง่วง พร้อมกับความมึนหน่อยๆ ว่า นี่มันมื้อไหนของวันกันฟระนี่
เมื่ออิ่มท้องและขึ้นมาบนรถอีกครั้ง จึงได้กลับไปนอนต่อ เพราะกว่าจะถึงจุดหมายปลายทางก็คงใช้เวลาอีกสักสองสามชั่วโมง อือ...ดีจัง ยังมีเวลานอนอีกนิด
เมื่อเดินทางถึงที่หมาย หลังจากนั้น จะเป็นการตระเวนไปเยี่ยมบ้านญาติของพ่อจ๋า คนโน้นคนนี้ให้ถ้วนทั่ว ได้เจอกับลูกพี่ลูกน้องวัยไล่เลี่ยกัน ซึ่งในวันแรกที่ไปถึง เหล่าน้องๆ มักจะมีอาการเหนียมอาย ไม่กล้าเข้ามาเล่นด้วยกัน ได้แต่ยืนหลบอยู่หลังพ่อแม่ของตัวเอง แล้วก็แอบส่งยิ้มแบบเขินๆ มาให้พวกเรา
โชคดีที่แถวบ้านคุณป้า มีร้านขายของชำ รวมไปถึงขนมและของเล่นเล็กๆ น้อยๆ สำหรับเด็กด้วย หนึ่งในนั้นคือ แผงลูกโป่งวิทยาศาสตร์ เจ้าสิ่งนี้แหละที่เป็นตัวช่วยสำหรับฉันและน้อง หลังจากวิ่งไปขอตังค์แม่เพื่อมาซื้อลูกโป่ง ได้ของมาเรียบร้อยก็เดินกลับมาบ้านคุณป้าที่มีบรรดาลูกพี่ลูกน้องตัวเล็กๆ นั่งกระจุกกันอยู่แบบเงียบหงิม สงบเสงี่ยม (นั่นมันคนหรือแมวน่ะ)
เราสองพี่น้องรีบแกะห่อของเล่นชิ้นใหม่ หยิบหลอดพลาสติกสีสันสดใสที่เป็นแท่งสั้นๆ ขึ้นมา พร้อมกับหยิบหลอดที่คล้ายกับหลอดยาสีฟันเล็กๆ ที่ภายในบรรจุตัวที่ใช้เป่าลูกโป่งขึ้นมาบีบลงไปบนหลอดพลาสติก จากนั้นก็ออกแรงเป่าเบาๆ (เป่าแรงมากไม่ได้ เดี๋ยวอากาศเข้าไปเยอะเกินจนลูกโป่งรั่ว)
นั่นล่ะเกมผูกมิตรกับเด็กๆ ทั้งหลาย เมื่อเหล่าน้องๆ เห็นลูกโป่งใสที่ถูกเป่าออกมาจากหลอด ก็จะพากันตื่นเต้น เข้ามามุงดู และรอที่จะได้เล่นเจ้าลูกโป่งที่ฉันกับน้องเป่าออกมา เมื่อนั้นความสนิทสนมก็เริ่มเข้ามาเยือนทีละนิด
หลังจากได้ลูกโป่งวิทยาศาสตร์เป็นของเล่นนำร่อง ได้เพื่อนเล่นมาอีกหลายคน ทำให้หลังจากนั้น พวกเราต่างก็สนุกสนานไปกับการละเล่นอย่างอื่น จำได้ว่า วันที่ต้องกลับกรุงเทพ น้องๆ ที่ตอนแรกเขินอาย ไม่กล้าเข้ามาหาพวกเรา บางคนถึงกับเกิดอาการงอแง อยากตามมาเล่นด้วยกันอีก
ปัจจุบันนี้ คาดว่ามีการห้ามขายลูกโป่งวิทยาศาสตร์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เนื่องจากของเล่นชนิดนี้ มีส่วนประกอบของสารระเหยที่เป็นอันตรายต่อเด็ก อ้าว...อย่างนี้เด็กรุ่นฉันนี่ คงเรียกว่ารุ่นปนเปื้อนสินะ เหอะๆ
ถ้าสมัยนั้นเขาห้ามขายเจ้าลูกโป่งชนิดนี้ ฉันกับน้องก็คงไม่มีเครื่องมือผูกมิตรทรงประสิทธิภาพเป็นแน่แท้
ลาก่อน เจ้าลูกโป่งวิทยาศาสตร์ ของเล่นวัยเยาว์ในความทรงจำ
ขอบคุณที่มอบความสนุกสนานให้กับฉันและเหล่าญาติพี่น้องในวันนั้น แม้จะต้องปนเปื้อนไปบ้างก็ตามที เอาน่า ถือเป็นการสร้างภูมิต้านทานให้กับชีวิตไง
Source
ภาพประกอบ: Photo by Lucas Insight from Pexels
Comments
Post a Comment