ลดโลกร้อน


โลกเราทุกวันนี้ ประสบกับปัญหาสิ่งแวดล้อมที่นับวันก็ดูจะรุนแรงมากขึ้น แต่ก่อนที่จะไปไกลในระดับโลก ขอกลับมาที่ระดับท้องถิ่นกันดีกว่า ไม่ต้องไปดูที่ไหนหรอก เอาง่ายๆ แค่ในกรุงเทพ เมืองที่อยู่อาศัยมาตั้งแต่เกิด

สำหรับเหตุการณ์ใกล้ตัวที่เห็นได้ชัด ในแบบที่สัมผัสได้ด้วยตัวเอง เห็นจะเป็นสถานการณ์ที่พวกเราชาวกรุง เพิ่งจะผ่านพ้นกันมาเมื่อไม่นานมานี้ นั่นก็คือฝุ่น PM 2.5 ซึ่งเป็นอะไรที่เป็นภัยต่อระบบทางเดินหายใจและสุขภาพในระยะยาวเป็นอย่างมาก

เมื่อหลายปีก่อนนั้น ฉันก็คงเหมือนกับคนทั่วไปอีกหลายล้านคนที่อาศัยอยู่ในเมืองกรุงนั่นแหละ เคยสังเกตเห็นสภาพอากาศในบางวันว่ามันช่างดูประหลาดพิลึก ทั้งๆ ที่ไม่ใช่ช่วงหน้าหนาว แต่บนท้องฟ้าเหมือนกับจะมีหมอกจางๆ ปกคลุม ทัศนวิสัยดูคลุมเครือ ไม่ชัดเจน (ซึ่งตามปกติแล้ว ฉันจะเห็นหมอก ก็ต่อเมื่อเริ่มเข้าสู่หน้าหนาวไง หมอกนอกฤดูหนาว จึงดูจะเป็นอะไรที่ค่อนข้างแปลกในความรู้สึกอยู่พอสมควร)

แต่ก็นั่นล่ะนะ ถึงจะสังเกตเห็น ก็ไม่ได้ตะหงิดใจอะไรมากมาย กลับคิดไปว่า วันนั้นสงสัยอากาศในช่วงเช้าอาจจะเย็นกว่าปกติก็เป็นได้ เลยทำให้เกิดหมอก หารู้ไม่ว่า นั่นล่ะจ้า ฝุ่นพิษไงเล่า

ในช่วงปลายปีที่แล้วจนถึงต้นปี ขณะที่สถานการณ์ฝุ่นพิษกำลังเป็นประเด็นอยู่นั้น ฉันก็เริ่มจะรู้สึกได้ถึงการมีอยู่ของเจ้าฝุ่น PM 2.5 ขึ้นมาเหมือนกัน (ดีเลย์กว่าชาวบ้านเค้าอีกตามเคย)

อย่างที่รู้กันว่าฝุ่นชนิดนี้มีขนาดเล็กมาก มองด้วยตาเปล่าน่ะ ไม่เห็นหรอก แต่สิ่งที่ทำให้ฉันรับรู้ได้ คือ เกิดอาการคันโพรงจมูกขึ้นมาในตอนเช้าวันหนึ่ง ทั้งที่ตัวเองไม่ได้เป็นโรคภูมิแพ้อะไรทั้งสิ้น และไม่ได้กำลังเป็นหวัด แต่กลับรู้สึกระคายเคืองจมูก

นั่นทำให้รู้สึกตกใจว่าสถานการณ์ฝุ่นพิษนี่มันไม่ใช่เล่นๆ ซะแล้ว (ก็ขนาดมนุษย์ความรู้สึกช้าอย่างฉัน ยังสามารถรู้สึกรู้สาได้) มันเป็นภัยใกล้ตัว เป็นเรื่องซีเรียสกว่าที่เคยคิดไว้ (เอิ่ม...อันนี้คนอื่นเค้าก็จริงจังก่อนแกเป็นชาติแล้วมั้ง)

จากความระคายเคืองโพรงจมูกในวันนั้น ทำให้ฉันเริ่มตระหนักถึงปัญหามลภาวะรอบตัวที่เหล่ามนุษย์กำลังเผชิญอยู่ และเกิดความคิดว่าอยากจะเป็นส่วนหนึ่งที่สามารถช่วยลดการเกิดมลภาวะเหล่านั้นได้บ้าง แม้เพียงเล็กน้อยก็ยังดี

ปัจจุบันนี้ ฉันจึงลงมือทำในสิ่งที่ตนเองพอจะทำได้ เป็นสิ่งง่ายๆ ที่ทุกคนล้วนทำได้เช่นเดียวกัน นั่นก็คือ...แถ่น แทน แท้น ไม่รับถุงพลาสติกทั้งหลายทั้งปวงเวลาเดินเข้าร้านสะดวกซื้อ ซูเปอร์มาร์เก็ต หรือห้างสรรพสินค้า ถือเป็นการลดปริมาณการใช้พลาสติกของตัวเองในแบบค่อยเป็นค่อยไป

อีกสิ่งหนึ่งที่น่าจะเข้าข่ายใกล้เคียงกับการไม่รับถุงพลาสติก นั่นก็คือ การไม่รับปกพลาสติกเวลาซื้อหนังสือ ซึ่งขอสารภาพแบบไม่อายเลยว่า ในช่วงแรกที่ตัดสินใจเลิกรับปกพลาสติกฟรีจากทางร้านหนังสือนั้น เป็นอะไรที่ค่อนข้างทำใจลำบากทีเดียวสำหรับคนรักหนังสือเช่นฉัน แต่ครั้งต่อๆ มา อาการเสียดายปกฟรีก็เริ่มทุเลาลง เมื่อได้คะแนนสะสมแต้มพิเศษเป็นสิ่งทดแทนจากการเลือกไม่รับปกพลาสติก (ตกลงนี่แกอยากช่วยลดมลภาวะจริงๆ หรือมันเป็นเพราะความงกคะแนนสะสมของแกกันแน่)

บางคนอ่านมาถึงตรงนี้ อาจมองบน พร้อมกับคิดว่า นั่นคนอื่นเค้าทำกันมานานมากแล้วนะจ๊ะ ก็บอกแล้วไงว่า ฉันมันเป็นประเภทดีเลย์ ซึ่งหากมองอีกมุมหนึ่ง อาจเป็นเพราะก่อนหน้านี้ ฉันไม่ได้ให้ความสนใจกับประเด็นสภาพแวดล้อมก็เป็นได้ จนเมื่อได้สัมผัสถึงปัญหาที่เกิดขึ้นด้วยตัวเอง จึงเป็นจุดเปลี่ยนให้กลับมาฉุกคิด (ก็ยังดีเนอะที่คิดได้ซะที)

เดี๋ยวนี้ เวลาออกไปไหน ฉันจึงมักพกย่ามใบโตติดตัวไปด้วย เวลาไปซื้อของกินของใช้หรือหนังสือ จะได้บอกพนักงานคิดเงินที่เคาน์เตอร์ด้วยน้ำเสียงภาคภูมิใจว่าไม่เอาถุงพลาสติกนะคะ ไม่รับปกพลาสติกค่ะ

แม้จะไม่แน่ใจว่าการลดปริมาณการใช้ถุงพลาสติกกับปัญหาฝุ่น PM 2.5 มีความเกี่ยวข้องกันหรือไม่ มากน้อยเพียงใด แต่ฉันก็ตั้งใจไว้แล้วว่าจะพยายามลด ละ เลิกพฤติกรรมการใช้ถุงพลาสติกแบบฟุ่มเฟือยออกไปทีละเล็กละน้อย

ทุกครั้งที่ได้แจ้งเจตจำนงนี้กับคุณน้องพนักงาน ฉันจะรู้สึกดีมาก มันจะเกิดความภูมิใจกับสิ่งที่ตัวเองกำลังทำอยู่ แม้เป็นเพียงสิ่งน้อยนิด ทว่าสิ่งนี้กลับมอบความรู้สึกยิ่งใหญ่ให้กับฉันในแบบที่สามารถเดินออกจากร้านพร้อมกับรอยยิ้มที่ออกมาจากใจ

ปึง! นั่นเสียงอะไร อ๋อ...ก็แค่มัวแต่ยืดอก จนลืมตัว ดันไปเดินชนประตูหน้าร้าน เป็นไง อายเค้าบ้างมั้ยแก

Source
ภาพประกอบ: Photo by freestocks.org from Pexels

Comments