สะดุดเดย์


เรื่องมันเริ่มจากการที่ฉันอยากเปลี่ยนบรรยากาศออกไปกินข้าวกลางวันนอกบ้าน แบบขอออกไปนั่งตากแอร์เย็นๆ ระหว่างกินข้าวในห้างซะหน่อย วันนี้ต้องการลิ้มรสความอร่อยในแบบสบายตัว สบายใจ

เมื่อตัดสินใจแล้ว จึงออกเดินทางไปยังห้างใกล้บ้าน เดินข้ามสะพานลอย ท่ามกลางอากาศร้อนเปรี้ยงในเวลาเที่ยงครึ่ง (แกช่างเลือกเวลาเดินทางได้ดีมาก แดดกำลังเกรี้ยวกราด แผดเผาเต็มที่ไปเลย)

แน่นอนว่ามนุษย์ไม่สู้แดดอย่างฉันนั้น ต้องพกร่มติดตัวไว้เสมอ ขึ้น-ลงสะพานลอยเรอะ ไม่มีปัญหา กางร่มไปเสะ กันแดดได้ดีพอสมควร เพียงแต่ต้องระวังไม่ให้ร่มไปโดนหัวคนเดินสวนไปมา โชคดีที่ช่วงนั้น ไม่ค่อยมีคนเดินบนสะพานลอยมากเท่าไหร่ ทำให้ฉันกางร่มหลบแดดได้อย่างไร้กังวล

เดินลงจากสะพานลอย มุ่งหน้าไปป้ายรถเมล์ เพื่อจะโบกรถสองแถวที่ผ่านหน้าห้าง ขณะกำลังเพลินกับการมโนว่าตนเองเป็นสุดยอดนางแบบ ติ๊ต่างว่าทางเท้าคือ catwalk ให้ฉันวาดลวดลายเดินสวยๆ มั่นๆ อยู่นั้น อนิจจา! โธ่ถัง กะละมัง หม้อ ไห! ทางเท้าเมืองกรุงกลับไม่เป็นใจซะงั้น

ใครเคยเดินทางเท้าเมืองไทยเป็นประจำ น่าจะพอรู้ว่าเจ้าทางเท้าประเทศเราน่ะ มันไม่ได้ราบเรียบสักเท่าไหร่ หน้าร้อนแบบนี้ ไม่ค่อยมีปัญหา แต่พอเข้าหน้าฝนนี่สิ สถานการณ์ดูจะไม่ปลอดภัย เพราะอาจจะมีน้ำท่วมขังอยู่ใต้แผ่นหินที่ปูเป็นทางเท้า ใครเหยียบไป รับโชคไปเลยจ้า น้ำดำๆ กระเซ็นมาโดนขา (ฉันเองก็เคยเจอมาแล้ว เป็นอะไรที่น่าหัวเสีย และทำให้เซ็งไม่น้อย)

สำหรับวันนี้ ทางเท้าก็เล่นงานฉันเข้าอีกจนได้ (เอ่อ...หรือว่าอาจจะเป็นตัวฉันเองก็ได้ที่ซุ่มซ่าม) ด้วยความที่พื้นไม่เรียบ ทำให้ฉันเดินสะดุดตรงมุมของแผ่นหินแผ่นหนึ่งแบบไม่ทันได้ตั้งตัว

วินาทีที่สะดุด ท่าทางของฉันคงดูทุเรศพอควร โอ๊ะ! แว้ก! อะไรฟระ ขาทั้งสองข้างเริ่มทำงานไม่สัมพันธ์กัน หน้าก็เกือบจะทิ่มไปบนพื้นทางเท้า ยังดีที่กลับมาหาจุดบาลานซ์ได้เร็ว ทำให้รอดจากการต้องอับอายขายหน้าเพื่อนร่วมถนนในขณะนั้น

เคยเป็นกันบ้างไหม เดินเกือบสะดุด แต่ก็ไม่ล้ม แล้วต้องเงยหน้าขึ้นสู้ต่อ แอ๊บมั่นใจเหมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทว่าในใจกำลังอยากดำดินเต็มที่ เพื่อหลบหลีกสายตาผู้คน นั่นแหละค่ะ อาการของฉันในวันนี้

เท่าที่ (แอบ) สังเกต รู้สึกว่าจะมีคนเห็นประมาณสองสามคน เป็นคนที่เดินตามหลัง เฮ้อ! ค่อยยังชั่วที่จังหวะนั้นไม่มีคนเดินสวนกัน ไม่งั้นคงเผลอไปสบตาคนใดคนหนึ่งเข้าจนได้ เมื่อมีแต่คนด้านหลังที่เห็นความอับอายในครั้งนี้ ฉันเลยทำเนียน ประมาณว่ารีบเดินต่อไปป้ายรถเมล์ที่อยู่ข้างหน้า ไม่สนใจสิ่งรอบข้าง เอาล่ะ ครั้งนี้แกรอดตัวไป (รอดจากความอับอายไง)

การสะดุดทางเท้าในวันนี้ ทำให้ฉันนึกย้อนกลับไปในอดีตเมื่อหลายปีก่อน ณ วันฝนตกพรำๆ วันหนึ่ง ด้วยความที่อยากหลบฝน ทำให้ต้องเดินเร็วๆ เพื่อรีบเข้าห้าง แต่ก็อย่างที่รู้กันแหละนะ ฝนตก พื้นมันก็ต้องลื่นใช่มั้ย

ไม่รอดค่ะ ขาข้างหนึ่งดันลื่นพรืด จากนั้นก็ วืด วืด วืด พร้อมกับคิดว่า แย่แล้วตรู ถ้าล้มลงไปนี่ เปียกแน่นอน เมื่อเป็นเช่นนั้น มันก็ต้องสู้กับพื้นถนนสิคะ ทำไงน่ะเหรอ ก็ใช้ขาอีกข้างให้เป็นประโยชน์เซ่ แขนสองข้าง ก็อย่าอยู่เฉย แกว่งเข้าไป เผื่อมันจะช่วยพยุงตัวได้บ้าง

ออกอาการทุลักทุเลให้ได้ใจเต้นตึกๆ อยู่สักพัก ในที่สุด ความสมดุลก็บังเกิด อู๊ย...แสนจะดีใจ ไม่ต้องล้มก้นจ้ำเบ้า รอดจากการเปียก แต่...ยังดีใจได้ไม่สุด สายตาก็บังเอิญไปเห็นคุณพี่ยามที่กำลังมองมาที่ฉัน

แหะๆ อายแทบแทรกแผ่นดินหนี คาดว่าพี่ยามผู้นั้นคงเห็นอาการ ‘ว่ายน้ำบนบก’ ของฉันมาสักระยะแล้วล่ะ เมื่อได้สบตากัน ฉันจึงได้เห็นรอยยิ้มแสดงความเห็นอกเห็นใจส่งมาถึงฉัน ฮือๆ ก็ยังดีที่พี่เค้าไม่หลุดขำออกมานะ แต่มันก็ยังอายอยู่ดีไง

คิดในแง่ดี วันนี้ยังโชคดีที่ไม่ต้องเห็นรอยยิ้มจากผู้ใดทั้งสิ้น กลับมาแอ๊บมั่นต่อได้อย่างรวดเร็ว อารมณ์ประมาณ เดินสะดุดเรอะ เรื่องจิ๊บจ๊อยน่า ถามว่าเอาอีกครั้งมั้ยล่ะแก แหงะ ไม่เอาดีกว่าจ้ะ

Source
ภาพประกอบ: Photo by Dominika Roseclay from Pexels

Comments