เครื่องดื่มคลายร้อน


วันนี้เป็นอีกวันที่ฉันต้องถูบ้าน แน่นอนว่าสภาพอากาศก็ยังคงร้อนระอุ เหมือนกำลังตกนรกเช่นเดิม หากคิดในแง่ดี นี่ถือเป็นการเบิร์นอย่างหนึ่ง คิดได้แบบนี้ ทำให้มีกำลังใจในการหยิบจับไม้ถูพื้นมากขึ้น

ทว่า เมื่อออกแรงถูไปได้สักพัก กำลังใจของฉันพลันลดฮวบฮาบ สาเหตุก็มาจากสภาพอากาศอันแสนจะทารุณ ที่เคยคิดว่าเป็นการเบิร์น มันก็เบิร์นอยู่นะ แต่เห็นจะเป็นตัวฉันเองนี่แหละจ้าที่กำลังเบิร์น แบบว่าเบิร์นจนจะมอดไหม้อยู่รอมร่อ

สภาพไม่ได้ต่างจากเมื่อวานซะเท่าไหร่เลย ถูไป เหงื่อออกไป ยกแขนเสื้อซับเหงื่อไป ทรมานดีแท้ อยากลงไปชักดิ้นชักงอ ประท้วงพระอาทิตย์ แต่คิดอีกที ไม่เอาดีกว่า ขืนทำแบบนั้น พื้นบ้านคงเลอะไปด้วยเหงื่อ จนได้ถูบ้านซ้ำอีกรอบแน่ๆ (และแกนั่นแหละที่ต้องเป็นคนถู)

ได้แต่อดทน ออกแรงถูพื้นต่อไป จะได้เสร็จเร็วๆ ระหว่างที่ถูพื้นอยู่นั้น ก็คิดว่าถ้าทำงานเสร็จแล้ว จะไปปั่นน้ำกินให้ชุ่มปอดไปเลย

แต่ก่อนจะไปถึงจุดนั้น คงต้องเล่าซะก่อนว่า เครื่องปั่นของที่บ้านตอนนี้น่ะ มันไม่ค่อยจะสมประกอบเท่าไหร่ เนื่องจากฉันเคยเผลอทำมันหลุดมือ ตอนกำลังจะเอาเก็บเข้าตู้ ทำให้ฐานของเครื่องปั่นแตกหัก โชคยังดีที่แม้จะมีบางชิ้นส่วนที่แตกหักไปบ้าง แต่ตัวเครื่องก็ยังคงใช้งานได้อยู่ เพียงแต่เวลาใช้งาน จะต้องใช้มือจับเอาไว้ตรงฐานที่มีชิ้นส่วนชำรุดไปด้วยในขณะที่เครื่องกำลังปั่น

ครั้งแรกที่ไปหยิบเครื่องปั่นไม่สมประกอบมาใช้นั้น ฉันยังไม่รู้ว่ามันต้องอาศัยมือคนช่วยยึด ทำให้ครั้งนั้น นอกจากเครื่องปั่นจะไม่ทำงาน ฉันยังอดกินน้ำปั่นไปด้วย เล่นเอาอารมณ์เสีย หัวฟัดหัวเหวี่ยงราวคนบ้า ประมาณว่า “แค่จะปั่น อารมณ์ก็เปลี่ยน”

หลังจากคุณน้าเชฟได้บอกเทคนิคในการใช้เครื่องปั่นชำรุดแล้ว ฉันจึงหมายมั่นปั้นมือว่าครั้งต่อไปที่ใช้เครื่อง จะต้องทำการปั่นให้สำเร็จลุล่วงให้จงได้

วันนี้ได้โอกาส ถึงเวลาฤกษ์งามยามดี (ไม่มีฤกษ์อะไรทั้งนั้นแหละ อากาศมันร้อนก็เลยหิวน้ำ) ไปหยิบเครื่องปั่นออกมาใช้ เปิดตู้เย็นหยิบน้ำมัลเบอร์รีของดอยคำ เครื่องดื่มโปรดของฉันออกมาสองกล่อง พร้อมกับเมจิโยเกิร์ตบัลแกเรียผสมน้ำผึ้งมาด้วยหนึ่งกล่อง (นี่ก็โยเกิร์ตเจ้าโปรดเช่นกัน) รวมทั้งน้ำแข็งทุบ แก้วน้ำ ช้อนยาว หลอด เตรียมพร้อมเต็มที่ ครั้งนี้ต้องไม่พลาด

หลังจากได้วัตถุดิบเรียบร้อย จากนั้นก็เทส่วนผสมทั้งหมดลงเครื่อง พร้อมกับหมุนเครื่องให้ได้องศาพอดี รวมทั้งใช้มือจับเอาไว้ตามที่คุณน้าเชฟสอนไว้ เสร็จแล้วก็กดปุ่มเบอร์ 1 ด้วยความมั่นใจ คาดหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเครื่องจะทำงานได้ตามปกติ แล้วเป็นไงล่ะ ความเงียบเท่านั้นคือคำตอบ ไม่มีอะไรเกิดขึ้นอยู่ดี แหงะ ทำไมฟระ เริ่มเสียกำลังใจเล็กๆ

นั่นทำให้ฉันต้องก้มตัวลงไปมองตรงฐานเครื่อง เพื่อตรวจว่ามันลงล็อคพอดีหรือไม่ ขณะที่กำลังหมุนๆ ตัวเครื่องเพื่อให้ได้มุมที่เหมาะสมอยู่นั้น จู่ๆ เครื่องก็ทำงานขึ้นมา เล่นเอาฉันตกใจเล็กน้อย คราวนี้แหละ ปั่นใหญ่เลย เสียงดังฟังชัด

เมื่อเงยหน้าขึ้นมา เลยเห็นว่าฉันยังไม่ได้กดปิดปุ่มเบอร์ 1 ที่เปิดค้างไว้ก่อนหน้านี้ เดาเอาว่า พอหมุนตัวเครื่องไปมา มันคงเข้าล็อคโป๊ะเชะ เครื่องก็เลยทำงานได้

เห็นดังนั้น ความดีใจ (ปนโล่งใจ) เริ่มมาเยือน ยืนดูเครื่องทำงานด้วยความปลาบปลื้ม อยากจะร้องไห้ด้วยความตื้นตัน ตรูจะได้กินน้ำปั่นแล้วว้อย รอไปสักพัก เมื่อเห็นว่าส่วนผสมรวมเป็นเนื้อเดียวกันแล้ว จึงกดปิดเครื่อง

ตอนที่เปิดฝาและเทน้ำปั่นใส่แก้ว เป็นอะไรที่ดีงามมาก เฝ้ามองน้ำสีม่วงสวยที่อยู่ในแก้วด้วยความภาคภูมิใจ (ใช่ค่ะ นี่คือน้ำปั่นที่ฉันลงมือปั่นเองและสำเร็จเป็นแก้วแรก) จากนั้นก็ใช้ช้อนตักน้ำปั่นมาลองชิม อา...อร่อย ชื่นใจอะไรอย่างนี้ ลืมอากาศร้อนไปเลยชั่วขณะ

นั่นล่ะค่ะ ความประทับใจของฉันในวันนี้ ดื่มไป ยิ้มไป สรุปว่ากินคนเดียว ฟินคนเดียวแบบเต็มที่ 3 แก้ว เพราะตอนนั้นไม่มีใครอยู่บ้านเลยสักคน ไม่อย่างนั้นนะ ฉันจะได้อวดฝีมือการปั่นน้ำผลไม้ของตัวเอง พร้อมกับยิ้มด้วยความปลื้มปริ่มไปแล้ว

ป.ล. มัวแต่ดีใจที่ครั้งนี้ปั่นสำเร็จ ลืมถ่ายรูปเก็บไว้เลย

Source
ภาพประกอบ: Photo by Daria Shevtsova from Pexels

Comments