As we go on, we remember…


เมื่อวานนี้ ได้พูดถึงฤทธาของจันทราพิโรธ “N” ผู้โหดร้ายไปแล้ว ทำให้นึกถึงเพื่อนเลขที่ 1 ของฉันขึ้นมาอีกครั้ง (ใครยังไม่รู้จักเลขที่ 1 แนะนำให้ลองไปอ่านเรื่อง เรียน (ไม่) ดี กีฬา (ก็ไม่) เด่น และ To Love You More กันก่อนนะ)

จะว่าไปแล้ว มันก็นับเป็นเรื่องธรรมดาที่จะต้องนึกถึงเจ้าเลขที่ 1 เนื่องจากเมื่อครั้งเกิดเหตุการณ์ตัวแทนแห่งดวงจันทร์ ทำการลงทัณฑ์ “เหวี่ยงมนุษย์” จนฉัน (แทบจะ) กระเด็นหลุดออกนอกวงโคจรโลก ซึ่งในครั้งนั้น นอกจากเพื่อนซาดิสม์อย่าง N และสนามอารมณ์ที่น่าสงสารอย่างฉันแล้ว ก็เห็นจะมีเจ้าเลขที่ 1 เพื่อนสนิทของฉันผู้นี้แหละที่ถือเป็นพยาน (ผู้ไม่กล้าเปิดเผยตัวตน) ในจุดเกิดเหตุ

ฉันกับเลขที่ 1 เรียนห้องเดียวกันในสมัยอยู่ชั้น ม.4 และ ม.5 เรียกได้ว่าเราทั้งคู่เป็นคู่หูคู่ซี้ เห็นฉันที่ไหน จะต้องมีเลขที่ 1 อยู่ด้วยกันแทบทุกครั้ง ราวกับพวกเราเป็นฝาแฝดตัวติดกันก็ไม่ปาน วันไหนที่ไม่เห็นเราแบบแพ็คคู่ เพื่อนๆ จะพากันออกปากถามหาถึงอีกคนหนึ่งเสมอ

สมัยเรียนฉันกับเลขที่ 1 มีการละเล่นระหว่างเราสองคน นั่นคือการเขียนจดหมายถึงกัน ดูประหลาด เพราะเราทั้งคู่ก็เจอกันทุกวันที่โรงเรียนนั่นแหละ แต่ก็ยังอุตส่าห์นั่งเขียนจดหมายที่หาสาระไม่ค่อยจะได้ แล้วนำมาแลกกันอ่านที่โรงเรียน (เรียกว่าบ้าทั้งคู่ ถึงอยู่ด้วยกันได้ไง)

จำได้ว่ามีอยู่ปีหนึ่ง ฉันทำการ์ดวันเกิดให้เลขที่ 1 ซึ่งถือเป็นหนึ่งในการ์ดใบแรกๆ ที่ฉันทำด้วยตัวเอง เริ่มตั้งแต่การตัดกระดาษ 100 ปอนด์ การลงสีน้ำเป็นพื้นหลัง จากนั้นก็ไปเปิดหารูปสวยๆ ตามหน้านิตยสารเก่าที่ไม่ใช้แล้ว ได้รูปที่ถูกใจแล้วจึงตัดออกมา เพื่อเอามาแปะตกแต่งการ์ดให้สวยงาม (เหมือนจะจำได้ด้วยว่าเป็นรูปของนักฟุตบอลชาวอังกฤษคนโปรดของมันนั่นแหละ)

ในครั้งนั้น ฉันได้เลือกเนื้อเพลงท่อนโปรดจาก Vitamin C ในเพลง Graduation (Friends Forever) มาเขียนด้านหน้าของการ์ดวันเกิดที่ตนเองประดิษฐ์ขึ้นมาเพื่อเพื่อนโดยเฉพาะ

บทเพลงนี้จาก Vitamin C เป็นเพลงที่เหมาะกับชีวิตวัยเรียนเอามากๆ ฉันชอบเพลงนี้ เพราะมีการนำทำนองเพลง Canon in D อันโด่งดังของ Johann Pachelbel นักประพันธ์เพลงชาวเยอรมันมาใส่ไว้ในเพลงด้วย

สำหรับเนื้อเพลงท่อนที่ฉันเขียนเอาไว้หน้าการ์ดวันเกิดใบนั้น ร้องเอาไว้แบบนี้

“As we go on, we remember all the times we had together
And as our lives change, come whatever
We will still be friends forever.”

มานึกดูแล้ว ช่างเป็นอะไรที่น้ำเน่าชวนอ้วกมาก แต่แหม...ตอนนั้นยังเป็นเด็กใสๆ นี่นะ มันก็ต้องทำอะไรที่ดูตะมุตะมิ คิขุ โนเนะ เบะปาก (เอ๊ะ! อันหลังสุดไม่น่าจะใช่แล้วล่ะแก)

หลังจากจบชั้น ม.5 พวกเราทั้งคู่ต่างสอบเทียบ ข้ามไปเรียนต่อในรั้วมหาวิทยาลัยกันเลย ซึ่งจะเป็นเพราะบุพเพหรือเวรกรรมแต่ปางไหนก็ไม่ทราบได้ ทำให้เราทั้งคู่สอบติดที่เดียวกัน (แต่ต่างคณะ)

เวลาได้ผ่านไป จนกระทั่งพวกเราเรียนจบในระดับปริญญาตรี ขณะที่เพื่อนคนอื่นเริ่มเข้าสู่วงการพนักงานออฟฟิศ เจ้าเลขที่ 1 กลับตัดสินใจไปเรียนต่อในระดับปริญญาโททันที จำได้อีกแหละว่า ในวันเดินทางของมัน ฉันก็ไปส่งมันถึงสนามบิน พร้อมกับมอบของที่ระลึกให้มันเอาไว้ด้วย

จะบอกว่าของที่ระลึกในครั้งนั้นน่ะ ฉันลงทุนไปเดินเลือกซื้อที่สยามอยู่ตั้งนานสองนาน กว่าจะเจอชิ้นที่ถูกใจฉัน (แต่จะถูกใจมันรึป่าวไม่รู้ ช่างเหอะ ได้ให้ก็สบายใจฉันแล้ว 555) และของสิ่งนั้นก็คือบิกินีถักสีสันสดใส แบบเห็นแล้ว รู้สึกชอบขึ้นมาทันที แต่ในเมื่อตัวเองไม่กล้าใส่ เลยตัดสินใจซื้อให้มันแทน (อย่างนี้ได้ด้วยเหรอแก)

นี่ก็ไม่รู้ว่าเพื่อนของฉันเคยได้หยิบบิกินีตัวนั้นมาใช้งานบ้างหรือไม่ นึกแล้วก็อยากเห็นหน้ามันตอนแกะห่อของขวัญซะเหลือเกิน คาดว่ามันอาจจะทำหน้าเบ้ พร้อมกลอกตามองบน ประมาณว่านี่มันไม่ใช่สไตล์ตรูนะเฟ้ย แกซื้อมาได้ไงกันฟระเนี่ย จากนั้นก็เก็บของที่ระลึกชิ้นนั้นเอาไว้ในซอกหลืบลึกที่สุดในตู้เสื้อผ้าก็เป็นได้

เอาไว้ถ้าได้เจอกันอีกครั้ง ฉันอาจจะถามมันถึงบิกินีตัวนั้น ของแทนใจจากฉันว่ายังอยู่ดีมีสุขมั้ย หรือมันจะโยนทิ้ง ณ ที่ใดที่หนึ่งของ Windy City ไปแล้วก็ไม่รู้ได้

Source
ภาพประกอบ: Photo by John-Mark Smith from Pexels

Comments