The Endearing Blue


สมัยวัยรุ่น สิ่งหนึ่งที่ฉันชอบทำเมื่อมีเวลาว่างคือ การกดปุ่มรีโมทไปที่ช่องแฟชั่นโชว์เพื่อดูการเดินแบบ เรียกว่าสามารถนั่งดูอย่างเพลิดเพลินไปได้เรื่อยๆ โดยไม่เบื่อ นั่นทำให้ฉันมีนางแบบที่ชื่นชอบอยู่ในใจมากมายหลายคนด้วยกัน

แต่วันนี้ ฉันจะขอข้ามเหล่า supermodels สูงยาวเข่าดีเหล่านั้น มาพูดถึงนายแบบในดวงใจของฉันแทน หากจะให้นับชายหนุ่มที่เข้าตา ตรงใจฉัน เห็นจะมีอยู่ไม่เกินสิบคน ผิดกันกับจำนวนนางแบบในดวงใจแบบลิบลับเลยล่ะ

ในบรรดานายแบบหนุ่มหน้าตาดีทั้งหมดนั้น คนที่เป็นอันดับหนึ่งในใจฉัน ได้แก่ Gaspard Ulliel นายแบบหน้าตาหล่อเหลาชาวฝรั่งเศส และนอกจากจะเป็นนายแบบแล้ว หนุ่มคนนี้ยังประกอบอาชีพนักแสดงด้วย

การที่เขาผู้นี้ ครองอันดับหนึ่งในใจฉันมาอย่างยาวนานนั้น มันก็มีเหตุผลรองรับอยู่นะ หากใครพอรู้จักเขา หรือเคยเห็นหน้าเขามาบ้าง ก็น่าจะเดากันได้ไม่ยากเลยว่าเพราะอะไรฉันถึงชื่นชอบเขาคนนี้เหลือเกิน

ทั้งดวงตาสีฟ้าสวย จมูกโด่ง หน้าตาก็หล่อมาก (ย้ำว่ามากแบบ ก.ไก่ ยาวไปถึงดาวพลูโต) และจุดเด่นที่สำคัญซึ่งถือเป็น trademark ของเขาเลยก็ว่าได้ นั่นก็คือรอยแผลเป็นบริเวณแก้มด้านซ้ายของเขา อันเกิดจากอุบัติเหตุในวัยเด็ก

ที่บอกว่ารอยแผลเป็นนี้ถือเป็นสัญลักษณ์ของเขานั้น ไม่ได้พูดเกินจริงแต่อย่างใด เพราะด้วยความที่ตำแหน่งของแผลอยู่ตรงบริเวณแก้ม ทำให้เวลาเขายิ้ม มันเลยดูคล้ายกับลักยิ้มซะมากกว่ารอยแผลเป็นน่ะสิ คนอะไรจะหล่อได้แบบพระเจ้าเข้าข้างสุดๆ ขนาดนี้ฟระ คิดดูสิว่าขนาดมีแผลเป็น ยังส่งให้มีเสน่ห์ยิ่งกว่าเดิม (ฮือ...ผู้คนนี้ งานดีอีกแล้วค่ะ ใจละลาย)

คอหนังบางคนอาจจะพอคุ้นหน้าคุ้นตาเขาอยู่บ้างกับบทบาท Hannibal Lecter ในวัยหนุ่ม จากภาพยนตร์เรื่อง Hannibal Rising หรือจากการรับบทเป็น Yves Saint Laurent ดีไซเนอร์ชาวฝรั่งเศสผู้เป็นตำนาน จากภาพยนตร์เรื่อง Saint Laurent

แล้วก็ยังมีภาพยนตร์ฝรั่งเศสเรื่องที่เขาเล่นคู่กับ Audrey Tautou (นางเอกจากภาพยนตร์เรื่อง Amélie ไง) อย่างเรื่อง A Very Long Engagement ที่ทำให้เขาได้รับรางวัล César Award for Most Promising Actor ในปี 2004 อีกนะ (อธิบายเพิ่มนิดนึงว่า César Award นี้ เป็นรางวัลทางด้านภาพยนตร์ของฝรั่งเศส ซึ่งน่าจะเทียบได้กับ Oscar ของฝั่งอเมริกาแหละ)

นอกจากนี้ ผลงานภาพยนตร์ของ Gaspard ในปี 2016 เรื่อง It's Only the End of the World หรือในชื่อภาษาฝรั่งเศสว่า Juste la fin du monde โดยผู้กำกับ Xavier Dolan (คนเดียวกับที่กำกับมิวสิควีดีโอ Hello ของ Adele) ยังเป็นผลงานที่ทำให้เขาได้รับรางวัล César Award for Best Actor อีกด้วย

นั่นเป็นส่วนของผลงานการแสดง คราวนี้ข้ามมาพูดถึงงานด้านการเป็นนายแบบบ้าง Gaspard เป็นพรีเซนเตอร์ให้กับสินค้ามากมาย แต่งานที่โดดเด่นมากสำหรับฉัน และน่าจะเป็นที่จดจำสำหรับคนอื่นด้วยเช่นกัน น่าจะเป็นน้ำหอมผู้ชาย Bleu de Chanel

มาเริ่มกันที่โฆษณาตัวแรกที่ออกมาในปี 2010 ซึ่งเป็นผลงานการกำกับของ Martin Scorsese โดยใช้เพลง She Said Yeah ของวงหินกลิ้ง The Rolling Stones มาประกอบโฆษณา

ในโฆษณาตัวนี้ ความหล่อของ Gaspard ฉายแววมาก ตาที่เป็นสีฟ้าอยู่แล้ว ยิ่งมาอยู่ในโฆษณาที่ชื่อก็บอกแล้วว่า Bleu เลยยิ่งดูฟ้ามากขึ้นไปอีก ดูแล้วหลง ละเมอ เพ้อหา บ้าบอเสียสติกับความหล่อของเขาอยู่นาน ต้องกดดูซ้ำแล้วซ้ำอีกไปเรื่อยๆ ราวกับเป็นคนย้ำคิดย้ำทำ (อ้าว! แกก็เป็นอยู่แล้วไม่ใช่รึ)

โฆษณาตัวถัดมาในปี 2014 กำกับโดย James Gray และใช้เพลง All Along the Watchtower ในเวอร์ชันที่ Jimi Hendrix เป็นคนขับร้อง (เจ้าของเพลงต้นฉบับคือ Bob Dylan) อืม...เมื่อดูโฆษณาสองชิ้นนี้แล้ว เลยเดาได้ว่าน้ำหอมตัวนี้น่าจะมีการวางคอนเซ็ปต์เอาไว้ว่า พระเอกจะต้องทิ้งงานที่กำลังทำอยู่กลางคันด้วยการเดินออกไปแบบไม่สนใจผู้ใดหรือไม่ก็วิ่งหนีไปเลยดื้อๆ

อ้าว เอ๊ะ! ไม่ใช่เหรอ เอาใหม่ก็ได้ แนวคิดของ Bleu de Chanel น่าจะประมาณว่า เป็นการออกไปตามหาสิ่งที่ตนเองต้องการอย่างแท้จริง อือ...พูดแบบนี้แล้ว พระเอกตรูค่อยดูเป็นคนมีความรับผิดชอบขึ้นมาหน่อยเนอะ

และบังเอิญเหลือเกินว่า วันนี้ฉันดันคิดถึง Gaspard ขึ้นมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย (แกจะเอาปี่กับขลุ่ยไปทำไม) ก็เลยตั้งใจว่าจะเปิดดูโฆษณาทั้งสองชิ้นนี้เพื่อบรรเทาความคิดถึงของฉันที่มีต่อเขา (แล้วได้ถามเขาบ้างมะ ว่าเขาต้องการความคิดถึงของแกบ้างรึป่าว เออ! คิดในคิดอีกที ยังไงแกก็คงไม่มีโอกาสถามเค้าอีกนั่นแหละ)

นั่นทำให้เพิ่งได้ค้นพบว่า Bleu de Chanel ออกโฆษณาตัวใหม่ล่าสุด (ก็คิดว่าอันนี้ล่าสุดแบบสุดๆ แล้วนะ) เมื่อกลางปี 2018 ผลงานโฆษณาชิ้นที่สามนี้ ได้ Steve McQueen มาทำหน้าที่กำกับ และอย่างที่รู้กันว่าเพลงประกอบโฆษณาเป็นอีกส่วนสำคัญของแบรนด์น้ำหอมตัวนี้

ในครั้งนี้ Bleu de Chanel ก็ไม่ทำให้ผิดหวัง เพราะได้เลือก Starman บทเพลงอันโด่งดังของ David Bowie มาเป็นเพลงประกอบโฆษณา ซึ่งจะว่าไปแล้ว เพลงนี้น่ะ น่าจะเป็นที่ถูกอกถูกใจในหมู่นักโฆษณาอยู่พอสมควรเลยล่ะ เพราะ Audi R8 ก็เคยนำเพลงนี้ไปใช้ประกอบโฆษณาเช่นเดียวกัน (ซึ่งฉันเคยเขียนถึงโฆษณาชิ้นนี้ไว้แล้ว หาอ่านกันได้ในบทความชื่อ Mars | Mr. Bowie | The Moon)

กลับมาที่น้ำหอมกันต่อเถอะ Gaspard ในโฆษณาชิ้นที่สามนี้ ดูมีความสุขุมขึ้น บุคลิกดูเป็นผู้ใหญ่กว่าเดิม (ก็แน่ล่ะสิแก ถ้านับจากโฆษณาชิ้นแรกในปี 2010 มันก็ใกล้จะสิบปีเข้าไปแล้วนะ) แต่ที่ไม่เปลี่ยนคือความหล่อ มองมุมไหนก็ดูดี ชวนให้ใจหลอมละลาย (แหวะ เลี่ยนว่ะ)

และสิ่งที่เพิ่มความน่าตื่นเต้นให้กับโฆษณาชิ้นนี้มากยิ่งขึ้น (โอย...ได้แต่กรีดร้องอยู่ภายในใจ) คือโฆษณาชิ้นนี้มาถ่ายทำกันที่เมืองไทยด้วย ซึ่งสถานที่ถ่ายทำก็คือ Sky Bridge ตรงสถานีรถไฟฟ้าช่องนนทรีนี่แหละ นับเป็นหนึ่งใน landmark อันต้องตาต้องใจในกรุงเทพไปแล้ว ตอนสมัยที่ฉันยังทำงานในละแวกนั้น เห็นมีคนมาถ่ายโฆษณานับไม่ถ้วน (พีคสุดคือเห็นผู้หญิงอินเดียใส่ชุดส่าหรี ตั้งแถวเต้นกันอยู่กลางแดด ราวกับไม่รับรู้ความแรงของแสงแดดเมืองกรุง)

ฮือ...พูดไปแล้ว ขอร้องไห้ย้อนหลังได้หรือไม่ ก็ตอนที่เค้าถ่ายทำกันน่ะ แกมัวไปมุดหัวอยู่ที่ไหนมา ทำไมถึงพลาด ไม่รู้เรื่องอะไรทั้งนั้น เสียดายย้อนหลัง (แหม...พูดอย่างกับถ้ารู้แล้วจะได้ไปดูอย่างนั้นแหละ)

โฆษณาชิ้นนี้ นอกจากฉันจะหลงรัก Gaspard เช่นเดิมแล้ว ฉันยังชอบคนที่เล่นเป็นนางเอกด้วย เป็นผู้หญิงผิวดำนะ แต่สวยเก๋มาก ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเธอคนนี้มีเชื้อชาติอะไร อาจเป็นลูกครึ่งก็ได้ เพราะหน้าตาดูคมมาก สวยมาก แว้บนึงอยากเป็นเธอจัง จะได้ไปเห็นหน้า Gaspard สุดหล่อในระยะประชิด

แบบอยากได้ moment ที่ว่า “It’s right in front of you” เหมือนอย่างที่ในโฆษณาว่าไว้น่ะ ถ้าได้ไปเห็น Gaspard ตัวเป็นๆ แบบประจันหน้ากันไปเลย ฉันนี่คงแทบจะทำสติหล่นหาย น้ำลาย (เกือบ) หยดก็เป็นได้

เอ่อ...เก็บอาการหน่อยมั้ยแก ไม่คิดว่ามันจะโจ่งแจ้ง ไร้ซึ่งความเป็นกุลสตรีไปหน่อยหรือ แต่เมื่อก้มลงไปมองเวลาตรงหน้าจอด้านขวาของคอมพิวเตอร์ตัวเอง ไหนๆ มันก็ดึกดื่นมากแล้ว ไม่แน่ใจว่าจะมีคนอ่านรึป่าว ถามเอง ตอบเองไปเลยละกัน

คิดว่าการนั่งเขียนพร่ำเพ้อถึงความหล่อของผู้ชายมาจนถึงขนาดนี้ คนเขาคงรู้กันหมดแล้วล่ะว่าแกน่ะบ้าผู้ชาย เพราะงั้น ไอ้ความเป็นกุลสตรีอะไรเนี่ยนะ ไม่จำเป็นหรอก ลืมมันไปชั่วคราวเหอะ เอาเวลาอันมีค่ามาปลื้มปริ่มไปกับความหล่อของขวัญใจตัวเองให้เต็มที่ไปเล้ยยย กรี๊ด! หล่อจัง

Source
ภาพประกอบ: Photo by Free Nature Stock from Pexels

Comments