ตามรอยตัวละคร


ใครที่ติดตามอ่านเรื่องราวต่างๆ ที่ฉันเขียนเล่าให้ฟังกันไปก่อนหน้านี้ (นี่ยังสงสัยอยู่ว่าจะมีคนอ่านบ้างมั้ยเนี่ย) อาจจะพอคุ้นกับเจ้าเพื่อน ‘เลขที่ 1’ ของฉันในสมัยมัธยม เพื่อนคนนี้ถือเป็นเพื่อนสนิทที่สุดของฉันในวัยเรียน อยู่ห้องเดียวกัน เลขที่ติดกัน กิน เล่น เที่ยวด้วยกันเสมอ

เมื่อเข้ามหาวิทยาลัย เราทั้งคู่ก็ยังสอบติดมหาวิทยาลัยเดียวกัน (แต่คนละคณะ) ถึงแม้จะไม่ได้ตัวติดกันเหมือนตอนเป็นเด็กมัธยม แต่ฉันก็ยังคงพูดคุยกับเจ้าเลขที่ 1 อยู่เป็นประจำ

เวลาในรั้วมหาวิทยาลัยผ่านไป จากนั้นชีวิตฉันก็เข้าสู่การเป็นสาวออฟฟิศ ส่วนเลขที่ 1 ตัดสินใจไปเรียนต่อในระดับปริญญาโททันที แม้จะห่างกันด้วยระยะทาง แต่นั่นก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคในการติดต่อสื่อสารระหว่างเราทั้งคู่ (ทำไมมันถึงให้ความรู้สึกราวกับฉันและมันเป็นคู่รักกันล่ะเนี่ย...บรึ๋ยใจจริงๆ)

ทำงานหาประสบการณ์ไปได้สักระยะหนึ่ง ฉันจึงตัดสินใจไปเรียนต่อ ซึ่งช่วงนั้นเลขที่ 1 กำลังศึกษาต่อในระดับปริญญาเอกอยู่ที่ประเทศเดียวกัน แต่เมืองที่มันอยู่กับเมืองที่ฉันไปเรียนนั้น เรียกว่าอยู่กันคนละฟากของประเทศเลยล่ะ

แต่เชื่อไหมว่าในระหว่างช่วงเวลานั้น ฉันกับมันแทบจะไม่เคยขาดการติดต่อกันเลย พูดคุยกันเกือบทุกวัน เผลอๆ อาจจะคุยกันบ่อยยิ่งกว่าตอนพวกเราทั้งคู่อยู่เมืองไทยซะอีก ด้วยความที่พวกเราต่างเป็นนักศึกษาต่างชาติ มาอยู่ไกลบ้านเกิดเมืองนอน แถมยังสนิทกันมาก่อนหน้านี้ คุยกับใครก็คงไม่สบายใจเท่ากับเพื่อนเก่าที่รู้ใจ จริงไหมล่ะ

เนื่องจากช่วงนั้น ฉันเพิ่งเดินทางมาถึง Seattle เพียงไม่นาน ถนนหนทางอะไรก็ยังไม่คุ้นเคยเท่าไหร่ จะไปไหนในตอนนั้นก็อาศัยนั่งรถบัส หรือไม่ก็เดินเอา (ถ้ามันมีระยะทางไม่ไกลมากนะ)

ยังคงจำได้ว่าช่วงนั้นถ้าออกไปไหน ต้องได้เดินจนเมื่อยขาเป็นประจำ และต่อมาก็เลิกเมื่อยไปเอง คือมันจะเป็นลูปทำนองนี้ ออกเดิน -> เมื่อยขา -> เริ่มบ่น -> แต่ยังเดินต่อไป -> ทำไมมันยังไม่ถึงซะทีฟระ -> เมื่อยอีกแล้ว -> โอ๊ย! เมื่อไหร่จะถึงเนี่ย -> เริ่มปลงและทำใจ -> แข็งใจเดินต่อ -> จากเมื่อย กลายเป็นชาชิน -> แต่ยังคงบ่นงึมงำอยู่ในใจ -> ถึงที่หมายด้วยความโล่งใจ (และหมดแรงขาลาก)

ครั้งหนึ่ง แม่เคยส่งของมาให้จากเมืองไทย แต่ฉันดันไม่อยู่ที่ห้องพักขณะที่ของมาส่ง บุรุษไปรษณีย์จึงจำเป็นต้องทิ้งใบรับของให้ไปติดต่อรับของเอาเองที่ไปรษณีย์ในสังกัดพื้นที่นั้น จากการสอบถามเจ้าของที่พัก ได้คำตอบมาแบบคร่าวๆ ว่าจะต้องเดินไปทางไหน และจากที่ฟังเค้าอธิบายมา มันก็ (ดูเหมือนว่า) ไม่ไกลมากเท่าไหร่ ฉันจึงตัดสินใจออกเดินเท้าไปยังที่ทำการไปรษณีย์ เพื่อไปติดต่อขอรับของโดยไม่ได้คิดอะไรมาก

ทว่า ด้วยความเป็นมือใหม่ไร้ประสบการณ์ หลังจากเดินไปตามถนนที่ทอดยาวมาก (ยาวมากจริงๆ นะ) อยู่สักพัก มันก็ไม่ถึงที่หมายซะที ที่ร้ายกว่านั้นคือ ถนนเส้นนั้นน่ะ เดี๋ยวก็สูงเหมือนขึ้นเนินขนาดย่อม เดี๋ยวก็ลาดลงเหมือนเวลาลงสะพาน ยิ่งทำให้เมื่อยและท้อง่ายกว่าปกติ

หันมองรอบตัว แถวนั้นก็ไม่มีคนเดินถนนผ่านมาให้ถามทางเลยสักคน ทำไงดีฟระ นึกถึงเลขที่ 1 ขึ้นมาได้ ลองโทรไปถามมันดีกว่า เผื่อมันจะให้คำแนะนำอะไรได้บ้าง หลังจากโทรไประบายความเหนื่อยจากการเดินเท้าให้มันฟัง มันเลยถามที่อยู่ของไปรษณีย์จากฉัน (ซึ่งระบุเอาไว้ในใบรับของที่ฉันได้มา) หลังจากค้นหาอยู่สักพัก เพื่อนก็ทำหน้าที่เป็น navigator มีชีวิต ช่วยชี้ทางให้ฉัน

นอกจากช่วยบอกเส้นทางที่ฉันต้องเดินไปแล้ว ข้อดีของ navigator เลขที่ 1 ซึ่งคุณจะไม่สามารถหาได้จาก navigator ทั่วไปคือ จะมีโหมดพิเศษอย่างการ ‘ให้กำลังใจ’ แก่ผู้เดินทางอย่างฉันด้วย กับคำพูดที่ว่า “เกือบถึงแล้วแก อีกไม่ไกลหรอก จะเจอสัญญาณไฟจราจรตรงทางแยกข้างหน้า ข้ามถนนไปแล้วเลี้ยวซ้าย เดินต่อไปอีกไม่กี่บล็อคก็ถึงไปรษณีย์แล้ว สู้ๆ”

ในที่สุด วันนั้นฉันก็เดินทางไปถึงไปรษณีย์โดยสวัสดิภาพ รับกล่องพัสดุเรียบร้อย จากนั้นก็แทบเข่าทรุดอยู่ตรงนั้น เพราะนึกขึ้นมาได้ว่า นี่ตรูยังต้องเดินกลับด้วยระยะทางเท่าเดิมกับขามาอีกน่ะเซ่ (โอย…นอกจากปวดขาแล้วยังปวดใจเพิ่มขึ้นด้วย)

เมื่อถึงที่พักในสภาพอ่อนระโหยโรยแรง แกะดูของที่แม่ส่งมา เล่นเอาหัวร้อนไปประมาณนึง เพราะที่ต้องทนเดินขาลากไป-กลับตั้งไกล เพื่อจะพบว่าของที่แม่ส่งมาคือ ของประดับเล็กน้อยจำพวกดอกไม้แห้งแบบที่คุณสามารถพบเจอได้ในงาน OTOP ทั่วไป

แม่ส่งของมุ้งมิ้งเกินความจำเป็นพวกนี้มาให้ เผื่อฉันเกิดนึกอยากให้ของที่ระลึกกับเพื่อนใหม่ชาวต่างชาติที่จะได้พบเจอตอนเปิดเรียนน่ะสิ (บางทีฉันก็ไม่เข้าใจในความคิดล้ำๆ ของแม่เท่าไหร่) แต่ที่แน่ๆ คือ เมื่อเห็นของพวกนั้นที่นอนอย่างสบายอารมณ์อยู่ในกล่อง ฉันล่ะแทบอยากจะเขวี้ยงทิ้งทั้งกล่องไปซะเลย ไอ้เราก็หลงนึกว่าข้างในกล่องอาจจะเป็นเอกสารสำคัญอะไรที่ต้องใช้ในอนาคต สู้กัดฟันเดินเท้าไปรับที่ไปรษณีย์อย่างว่องไว แล้วเป็นไง ได้มาแต่ความดอกไม้แห้งที่ไม่ค่อยจะแนวฉันเลย

ยังคงจำความรู้สึกหลังจากเปิดกล่องออกดู แล้วพบของมุ้งมิ้งที่แม่ส่งมา เห็นแล้วราวกับได้ยินเสียงหัวเราะจากแม่ลอยข้ามทวีปมาด้วย (รวมทั้งยังมีอาการประสาทหลอนจากการเดินเยอะเกินพิกัด ทำให้มโนบ้าบอไปว่าได้ยินของมุ้งมิ้งเหล่านั้นหัวเราะเยาะใส่ฉันอีก) อึดอัด คับข้องใจจนต้องโทรไปบ่นให้ navigator เลขที่ 1 ฟังอีกรอบ (เห็นใจมันเหมือนกันนะ แต่อารมณ์นั้น ตัวฉันต้องทำการระบายอะไรออกไปบ้าง ไม่งั้นสติแตกโพละแน่ๆ โชคดีเป็นของฉันที่เพื่อนยอมอดทนฟังคำบ่นยืดยาวเหล่านั้น)

ก่อนหน้าที่ฉันจะเปิดเทอม เข้าสู่ชีวิตการเป็นนักศึกษาอีกครั้งในรอบหลายปี เลขที่ 1 จึงตัดสินใจมาเยี่ยมเยียนฉัน ประมาณว่าจะได้มาพบเจอกันแบบตัวเป็นๆ รวมไปถึงการให้คำแนะนำต่างๆ ที่เป็นประโยชน์สำหรับกะเหรี่ยงมือใหม่แบบฉัน

แต่เดี๋ยวก่อน นั่นน่ะไม่ใช่จุดประสงค์หลักของเลขที่ 1 หรอก ความจริงแล้วมันคงอยากจะมาเที่ยวเมืองที่ฉันอยู่มากกว่า (มาหาเพื่อนเป็นผลพลอยได้ เรื่องเที่ยวเป็นเหตุผลสำคัญว่างั้น)

ด้วยความที่อยู่ต่างแดนมานาน เจ้าเลขที่ 1 เลยจัดการจองรถเช่ามาล่วงหน้า พอมันลงจากเครื่อง ก็ไปติดต่อศูนย์รถเช่าที่มันจองไว้ จากนั้น มันก็ขับรถมาหาฉันถึงที่พักเลย (แบบว่านอกจากฉันจะไม่ได้เป็นคนไปรับมันที่สนามบิน มันยังต้องหาทางมาหาฉันถึงที่พักเอาเองด้วย)

เมื่อเพื่อนมาพร้อมรถเช่า ชีวิตของฉันดูจะสะดวกขึ้นกว่าเดิมมาก เจ้าเลขที่ 1 พาฉันไปหาซื้อของใช้จำเป็นที่ยังคงขาดอยู่ จนวันนี้ยังซาบซึ้งไปกับความช่วยเหลือของมันในตอนนั้นมาก เพราะมันทำให้ฉันประหยัดเวลาในการรอรถบัส (บางครั้งป้ายรถบัสที่ไปนั่งรอ ไม่ได้โสภาอะไร สกปรกระดับนึงเลย แถมมีกลิ่นฉี่ลอยเข้าจมูกประปรายด้วย) และที่สำคัญคือ ช่วยทุ่นแรงที่ฉันต้องแบกของที่ซื้อกลับมาด้วยตัวเอง (คือถ้าฉันไปซื้อเองคนเดียว ฉันคงไม่มีปัญญาขนของเหล่านั้นกลับมาถึงที่พักแหงๆ ล่ะ)

ในครั้งนั้น พวกเราไปเยือน landmark สำคัญๆ ของเมือง อย่างเช่นไปถ่ายรูปกับ Space Needle สัญลักษณ์ของเมืองนี้ ไปเยือน Pike Place Fish Market ตลาดปลาที่มีชื่อเสียง ได้ดู fishermen หล่อล่ำทำการโยนปลาเป็นที่สนุกสนาน (และเป็นอาหารตาให้สาวไทยสองคนกระชุ่มกระชวย) รวมทั้งไปย่าน Fremont เพื่อดูสะพานยกได้

นอกจากนี้ ยังได้ไปเห็น Gum Wall ซึ่งก็คือกำแพงที่เต็มไปด้วยหมากฝรั่งที่เคี้ยวแล้ว และถูกแปะติดไว้บนกำแพง (เค้าว่ามันเป็นศิลปะ แต่ฉันว่ามันดูติสท์แบบหยึยๆ) รวมทั้งการไปเยือนซุ้มทางเดินอันสวยงาม Pioneer Square Pergola หรือจะเป็นการไปเห็นประติมากรรมสีส้ม รูปร่างหน้าตาแปลกประหลาดที่ชื่อว่า “The Eagle” ใน Olympic Sculpture Park (ตอนแรกฉันคิดว่าเจ้าตัวนี้เป็นช้างซะอีก)

แต่เหนือสิ่งอื่นใดทั้งปวง ไฮไลท์ของการมาเยือน Seattle ของเลขที่ 1 คือการมาตามรอยตัวละครจากเรื่อง Grey’s Anatomy หากใครเป็นแฟนซีรีส์เรื่องนี้ น่าจะจำได้กับฉากที่คุณหมอ George จาก Seattle Grace Hospital กำลังเดินอยู่บนกำแพงหินเตี้ยๆ โดยฉากหลังนั้นจะเห็น Space Needle ตั้งตระหง่าน เด่นเป็นสง่า พร้อมวิวอันสวยงามของเมืองนี้ในแบบพาโนรามากันไปเลย ฉากที่ว่านี้ มีอยู่ในมิวสิควีดีโอเพลง Chasing Cars จากวง Snow Patrol ด้วยล่ะ

ฉันคิดว่าเลขที่ 1 เพื่อนฉันนั้น มันคงอยากมาเห็นสถานที่จริงกับตาตัวเองนั่นแหละ วันที่พวกเราไปเยือน Kerry Park  ก่อนหน้านั้นเราทั้งคู่ก็ตระเวนเที่ยวมาแทบทั้งวันแล้ว ทำให้เมื่อไปถึงแถบ Queen Anne Hill ที่ตั้งของสวนสาธารณะแห่งนั้น ก็เป็นเวลาเย็นย่ำ ท้องฟ้าเริ่มมืดลงทุกที

พวกเราเฝ้ามองหาจุดที่คุณหมอ George เคยมานั่งเล่นกับคุณหมอ Meredith แต่ด้วยความไม่ชำนาญเส้นทางของพวกเรา (ก็แน่ล่ะสิ เพิ่งเคยมาครั้งแรกทั้งคู่) เลยทำให้ต้องขับรถวนหาอยู่หลายรอบ แต่เลขที่ 1 ก็ไม่ล้มเลิกความตั้งใจ ยังคงพยายามสอดส่ายสายตามองหาภายในความมืดที่ค่อยๆ โรยตัวเข้ามา

ขับวนไปมาอยู่ห้าหกรอบล่ะมั้ง ในที่สุด ความพยายามของเพื่อนฉันก็สำเร็จ ตอนนั้นมืดมากแล้ว มองไม่เห็นวิวอะไรเท่าไหร่ พาโนรามา พาราโบลา อะไรก็ช่างมันเหอะ ลงไปถ่ายรูปท่ามกลางลมเย็นๆ ที่พัดตีหน้าเป็นระยะให้เสร็จๆ ไปดีกว่า จะได้จบภารกิจ สามารถไปคุยได้ว่าตะลอนทัวร์เมืองนี้สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี

เราสองคนสลับถ่ายรูปให้กันอยู่พักใหญ่ ด้วยความหนาวของอากาศ บางรูปที่ถ่ายออกมา จึงเบลอไปบ้าง (หนาวจนมือสั่นไง) แต่นั่นก็ถือเป็นหนึ่งในวันที่ดีของเราทั้งคู่

อืม...ไม่น่าเชื่อเลยจริงๆ ว่าวันเวลาเหล่านั้น มันก็ผ่านมานานมากแล้วนะ ที่น่าทึ่งไปยิ่งกว่านั้น ฉันได้แต่แปลกใจกับความทรงจำของตัวเองน่ะสิ เพราะเวลาก็ล่วงเลยมานานขนาดนี้แล้ว แต่ฉันยังคงจดจำได้ว่าครั้งนั้น ฉันและเลขที่ 1 ไปผจญภัยที่ไหนกันมาบ้าง และสนุกสนานกันอย่างไร

ยังจดจำลมเย็นยามค่ำที่พัดมาตีหน้าตอนไปตามรอย Grey’s Anatomy จำเก้าอี้ว่างเปล่าที่วางเอาไว้ภายใน Olympic Sculpture Park ให้พวกเราไปนั่งยืดเส้นยืดสายกันได้อย่างตามสบาย จำ Totem ลวดลายแปลกตาบริเวณ Pioneer Square รวมไปถึงความตื่นตาตื่นใจตอนเห็น Lift Bridge ที่ Fremont

ทั้งหมดทั้งมวลที่กล่าวมานี้ ล้วนเป็นความทรงจำสวยงามที่ฉันกับเลขที่ 1 มีร่วมกัน เป็นความประทับใจในน้ำใจของเพื่อนคนนี้ที่ยอมเดินทางข้ามรัฐมาใช้เวลาไม่กี่วันกับฉัน มาเพื่อเป็นกำลังใจก่อนที่ฉันจะต้องพบเจอกับผู้คนมากมาย หอบความสนุกสนานมาให้ และทิ้งความอบอุ่นและพลังใจมหาศาลให้กับฉัน

Miss you na, ’Ky!

Source
ภาพประกอบ: Photo by Chait Goli from Pexels

Comments