คำชี้แจง: บทความนี้เขียนขึ้นเมื่อวันศุกร์ที่ 29 มีนาคม 2562
จากภารกิจตามล่าหาหนังสือในงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติที่ผ่านไปเมื่อวานนี้ เมื่อฉันทำการตรวจเช็คบรรดาหนังสือที่ซื้อมากับรายชื่อที่ลิสต์เอาไว้ก่อนหน้า ทำให้รู้ว่ามีหนังสืออีกหลายเล่มที่ยังไม่ได้มาครอบครอง เมื่อทนต่อกิเลสด้านตัวอักษรไม่ไหว ฉันจึงตัดสินใจเดินทางไปตามล่าขุมทรัพย์อันมีค่าต่อ
เนื่องจากวันนี้ออกจากบ้านสายกว่าเมื่อวาน กว่าจะไปถึงงานหนังสือ ก็ปาเข้าไปเกือบบ่ายสองครึ่งเข้าไปแล้ว นั่นยิ่งทำให้ฉันต้องรีบเร่ง ทำเวลาในการออกล่าหนังสือ เพราะกลัวว่าจะเจอกับช่วงเวลารถติดหลังเลิกงาน
อนิจจา เนื่องจากวันนี้ คนมางานเยอะกว่าเมื่อวาน จึงทำให้ฉันไม่สามารถปิดจ๊อบการซื้อหนังสือได้อย่างรวดเร็วตามที่วางแผนเอาไว้ ซื้อเล่มนั้นเสร็จ อ้าว! นึกขึ้นมาได้ว่ายังไม่ได้ซื้อเล่มนู้น เดินกลับไปกลับมา ขึ้นลงบันได ข้ามโซนไปมาอยู่หลายรอบ
กว่าจะเสร็จสิ้นภารกิจ ยกมือขึ้นดูเวลา เกือบสี่โมงครึ่งแล้ว แว้ก! ไม่ได้การล่ะ ต้องรีบออกจากงาน ลงไปนั่งรถไฟใต้ดิน วาดแผนการเดินทางเสร็จสรรพว่า หลังจากขึ้นมาจากใต้ดินแล้ว จะรีบโบกแท็กซี่ กลับบ้านอย่างว่องไวเลย
อนิจจาซ้ำสอง เมื่อขึ้นมาบนพื้นดิน รีบหันไปดูตรงจุดจอดแท็กซี่ ไม่มีหลงเหลือมาถึงฉันแม้แต่คันเดียว มองเลยไปที่ป้ายรถเมล์ โอย...คนรอกันตรึม แต่ทำไงได้ล่ะ ในเมื่อไม่มีแท็กซี่ให้โบก ก็คงต้องจำใจรอรถเมล์นั่นแหละ
หลังจากนั่งรอไม่ถึงสิบนาที พร้อมน้ำหนักจากหนังสือจำนวน 25 เล่มในกระเป๋าเป้และย่ามสะพายบ่า ฉันเริ่มเห็นท่าว่า ขืนยังนั่งรออยู่แบบนี้ มันคงไม่รุ่งแน่ๆ เลยตัดสินใจเดินไปขึ้นรถเมล์ที่ป้ายถัดไป ซึ่งตั้งอยู่บนถนนคนละเส้นกับป้ายรถเมล์ป้ายแรก เพราะป้ายถัดไปมีรถเมล์หลายสายให้เลือกมากกว่า จะได้ช่วยเพิ่มความน่าจะเป็นในการได้ขึ้นรถเมล์เร็วขึ้น
เดินไปจนเกือบจะถึงป้ายรถแล้ว เหลือบไปเห็นว่ามีรถเมล์สายที่ผ่านแถวบ้านกำลังจะวิ่งผ่านหน้าไป รถเมล์สายนี้เป็นสายที่ดีเยี่ยมมาก เพราะเส้นทางเดินรถ ผ่านถนนใกล้กับหมู่บ้านเลย ทันทีที่เห็นรถเมล์เบอร์นี้ ฉันก็รีบจ้ำอ้าวด้วยความเร็วสุดชีวิตเท่าที่จะทำได้ (อย่าลืมว่าเดินจ้ำไปด้วย และยังต้องแบกหนังสืออีก 25 เล่มในเวลาเดียวกัน)
อนิจจาครั้งที่สาม! ฉันไปไม่ทันรถเมล์คันนั้น ว้า...พลาดแล้ว แต่ก็ไม่ได้คิดมาก กลับไปนั่งที่ป้ายรถเมล์ รอรถคันต่อไป นั่งรอไม่นาน รถอีกสายหนึ่งก็เข้ามาเทียบป้าย มองผ่านกระจกใสของรถ เมื่อเห็นว่าไม่มีที่นั่ง ฉันเลยตัดสินใจไม่ขึ้นรถ เพราะไม่มั่นใจว่าตัวเองจะสามารถยืนโหนรถเมล์ไปได้แบบตลอดรอดฝั่ง โดยที่หลังไหล่ไม่หลุดจากน้ำหนักหนังสือที่ต้องแบกเอาไว้หรือไม่
ปลอบใจตัวเองว่าไม่เป็นไร เดี๋ยวคันใหม่ก็คงมา แต่ขณะนั้นเป็นเวลาห้าโมงครึ่ง คนเริ่มเลิกงานกันบ้างแล้ว จึงมีความกระวนกระวายพาดผ่านในใจ นั่งรอแบบไม่ค่อยปกติสุขนัก หนักก็หนัก เมื่อยไหล่มากด้วย
หลังจากนั้น มันก็เดจาวูเลยจ้า คือรถน่ะ มีวิ่งผ่านมานะ แต่ไม่มีที่นั่งไง ก็เลยไม่ขึ้น ได้แต่นั่งดูคนกรูกันไปขึ้น แล้วก็เฝ้ามองรถแล่นจากไปคันแล้วคันเล่า
เกือบสองชั่วโมงผ่านไป ไม่น่าเชื่อว่าเรื่องธรรมดาอย่างการนั่งรอรถเมล์สายที่ใข่ จะทำให้ฉันนึกอยากร้องไห้ได้ขนาดนี้ ฮือ...ร้อน เมื่อย ท้อใจ เหงื่อออกเหนียวตัวเข้าไปอีก
เมื่อทำอะไรไม่ได้ เลยเริ่มนั่งบ่นตัวเองในใจว่าไม่น่าเลย ไม่น่าพลาดรถเที่ยวแรกเลย นับว่าการจราจรเมืองไทยมีความมหัศจรรย์มาก เพราะสามารถทำให้ฉันนั่งหน้าเศร้าระคนสิ้นหวังจนน้ำตาจะไหลออกมาคลอเบ้าอยู่แล้ว ได้อารมณ์นางเอกเอ็มวีเวอร์ชันสุดแสนจะรันทดและหดหู่
ยิ่งวันนี้เป็นวันศุกร์ และที่สาหัสยิ่งไปกว่านั้น มันยังเป็นศุกร์สิ้นเดือนซะด้วย โฮ...ใครก็ได้ พาฉันไปจากจุดนี้ที อยากหลับตาแล้วหายตัวไปโผล่ที่บ้านได้จริงๆ เริ่มหิวข้าวหน่อยๆ คิดถึงหมาที่บ้านด้วย อยากกลับบ้านแล้ว อยากกลับบ้านนนน ได้ยินมั้ย (แกบอกใครฟระ)
ในที่สุด รถเมล์สายที่ฉันพลาดไปในตอนแรก ก็ได้ฤกษ์ผ่านมาอีกครา แต่...หยุดความดีใจเอาไว้เพียงเท่านั้น เพราะถึงจะขึ้นรถได้ แต่ก็ไม่มีที่ให้นั่ง ต้องยืนแบกเป้และย่ามด้วยความทรมานใจ เนื่องจากคนบนรถแออัด เบียดแน่นเป็นปลากระป๋อง
สิ่งที่พอจะดีอยู่บ้าง นั่นก็คือ รถสามารถแล่นไปได้เรื่อยๆ แบบค่อยเป็นค่อยไป ไม่ถึงกับนิ่งสนิท ไม่ไหวติง เมื่อทนยืนจนเส้นเอ็นเกือบขาดไปหลายเส้น และแล้ว...รถก็วิ่งมาถึงป้ายที่ฉันจะต้องลง
ลงรถเมล์มาแล้ว ได้ยินคุณป้าที่ลงป้ายเดียวกัน เอ่ยปากถามคุณพี่กระเป๋ารถเมล์ว่า “วันนี้มันเกิดอะไรขึ้นนะหนู” จากนั้น คุณพี่กระเป๋าก็ตอบคุณป้าไปว่า “นั่นสิคะ รถติดจังเลย” อือ...ได้ยินแล้วรู้สึกดีขึ้นมาเล็กน้อย อย่างน้อยฉันก็ยังมีเพื่อนร่วมทางล่ะนะ
หลังจากนั้น ฉันจึงกัดฟันเดินกลับบ้าน ทันทีที่เข้ามาในบ้าน ได้ปลดเป้และย่ามออกจากตัว ราวกับภาระอันหนักอึ้งได้หลุดพ้นไปเสียที โล่งใจมาก แต่...จนกระทั่งตอนนี้ ความเมื่อยก็ยังคงไม่หายไป เมื่อยไปทั้งตัว คอ ไหล่ แขน ขา ดึกป่านนี้ ร้านนวดก็ปิดแล้วด้วย เมื่อยมากใช่มะ นั่นแหละ เมื่อยต่อไป
สิ่งที่พอจะชุบชีวิต ทำให้กระชุ่มกระชวยได้บ้างคือ การนั่งชื่นชมบรรดาหนังสือที่ไปขนซื้อมาในวันนี้ รวมทั้งอีก 52 เล่มจากเมื่อวานด้วย โอ๊ะโอ! นี่มันบังเอิญหรือพรหมลิขิตกันนะ ก็ดูตัวเลขซะก่อนสิท่านผู้อ่าน เมื่อวาน 52 วันนี้ 25 เห็นทีงวดหน้า ฉันจะรวยแล้วล่ะ
Source
ภาพประกอบ: Photo by Pixabay from Pexels
Comments
Post a Comment