สมัยที่ฉันยังเป็นนักศึกษา เวลาไปเรียนที่มหาวิทยาลัย ส่วนมากจะต้องแบกตำราฉบับภาษาอังกฤษไปกับตัวด้วยทุกครั้ง เพราะแต่ละคาบเรียน อาจารย์จะอ้างอิงจากตำราเรียน แบบที่ว่าให้นักศึกษาเปิดหนังสือไปที่หน้านั้นหน้านี้น่ะ
ตำราแต่ละเล่มที่ใช้ประกอบการเรียน ล้วนแล้วแต่เป็นหนังสือปกแข็ง มีขนาดใหญ่ และหนาเตอะมาก ซึ่งขนาดและความหนาของตำรานี่แหละที่ทำเอาฉันแทบขาดใจกับการแบกตำราเหล่านั้นไปเรียน
วันไหนมีเรียนคาบเช้า วันนั้นฉันแทบจะไม่อยากออกจากบ้านเลย ก็จะอะไรซะอีกล่ะ ไหนจะต้องแหกขี้ตาตื่นแต่เช้าเพื่อไปยืนรอรถเมล์ ซึ่งรถเมล์ในตอนเช้านั้น มันก็จะแน่นเป็นปลากระป๋องเกือบทุกคัน หรือถ้าคันไหนไม่ค่อยมีคน รถสายนั้นก็ไม่ได้มีเส้นทางวิ่งที่เฉียดหรือใกล้เคียงกับที่ตั้งมหาวิทยาลัยของฉันเลย
บางครั้งรถสายที่ใช่ มาจอดป้ายเรียบร้อยในสภาพคนเต็มคันรถ จะไม่ก้าวขึ้นไป ก็ไม่รู้ว่าอีกนานเท่าไหร่คันต่อไปจึงจะมาเทียบป้ายอีกครั้ง ดีไม่ดีรถเกิดขาดระยะขึ้นมาในช่วงนั้นนี่ยิ่งแย่เข้าไปใหญ่เลย เสี่ยงต่อการเข้าเรียนสายเอามากๆ
ด้วยสถานการณ์บีบบังคับ ทำให้ฉันจำใจก้าวขาขึ้นไปบนรถปลากระป๋อง พยายามเอาตัวเบียดเสียดเข้าไปตรงเบาะเก้าอี้สักตัวเพื่อจะได้จับเอาไว้เป็นหลักยึด (แต่บางครั้งก็แอบคิดว่าไม่จำเป็นต้องหาหลักยึดอะไรทั้งนั้น ก็คนมันแน่นรถซะขนาดนั้น ถึงรถจะเบรก ฉันก็คงไม่หน้าทิ่มไปบนพื้นรถแน่นอน น่าจะเป็นการกระแทกซ้ายขวาไปโดนคนที่ยืนติดกันซะมากกว่า)
บางวันฉันต้องยืนไปเกือบตลอดเส้นทาง หรือบางหนก็ได้นั่งช่วงใกล้จะถึงมหาวิทยาลัยนั่นล่ะ แขนเขินนี่ล้าไปหมดด้วยน้ำหนักของตำราหนาเตอะ ใช่ค่ะ ยืนก็ต้องยืน และไม่ได้เป็นการยืนโพสท่านางแบบชิคๆ คูลๆ หรอกนะ (ฮิปสต้ง ฮิปสเตอร์อะไรก็ไม่ต้องไปพูดถึงมัน เพราะตอนนั้นเทรนด์นี้ยังไม่มาไง) แต่เป็นการยืนโดยมือหนึ่งจับพนักเก้าอี้เอาไว้ หรือไม่ก็ใช้วิธีโหนราวรถเมล์ ในขณะที่อีกมือก็ถือตำราเรียนไปด้วย ถึก ทรหดดีแท้
วันไหนเจอคนใจดี มีเมตตา เสนอความมีน้ำใจโดยการช่วยถือข้าวของให้ นั่นคือโชคดีมาก เพราะไม่ต้องทำสตรองแบบฝืนใจตัวเองอีกต่อไป ในใจนี่ดี๊ด๊าสุดขีด แบบที่รีบยื่นหนังสือไปให้ผู้ออกปากช่วยเหลือแทบไม่ทัน
กว่าจะถึงจุดหมายปลายทาง แขนของฉันข้างที่ต้องแบกหนังสือหลายกิโลก็มีรอยแดงเป็นปื้นๆ โอย...เหนื่อย หนัก ล้า กลับบ้านเลยได้มั้ย ไม่ต้องเรียนมันแล้ว และใช่ค่ะ เมื่อแบกมาเรียน พอเลิกเรียน ฉันก็ต้องแบกหนังสือกลับบ้านอีกครั้ง เพลงประกอบความรู้สึกลอยมาทันที “หนักเกินไปแล้ว เกินจะแบก”
หากวันไหนที่ฉันไม่มีเรียนวิชาที่ต้องแบกตำรานี่จะดีใจมาก จำได้ว่ามีบางวิชาที่นักศึกษาไม่มีตำราเรียน แต่ใช้วิธีไปซื้อชีทประกอบการเรียนการสอนสำหรับคาบนั้นได้ที่ร้านใต้ตึกคณะ นั่นเป็นอะไรที่เหมือนสวรรค์โปรดเลย เพราะวันนั้นฉันจะสามารถเดินตัวปลิว กล้ามแขนก็ไม่ขึ้น เลิกเรียนแล้วก็สามารถไปเที่ยวต่อได้ด้วย (เหตุผลนี้สำคัญสุด) ดีสองต่อไปเลย
ด้วยความที่ห่างหายจากชีวิตการเป็นนักเรียน นักศึกษามาเป็นระยะเวลายาวนานมากแล้ว ทำให้ฉันไม่แน่ใจว่าปัจจุบันนี้ ยังคงมีการแบกตำราเล่มหนาเตอะไปเรียนกันหรือไม่
ฉันได้ตระหนักว่า สิ่งที่หนังสือเล่มหนาเหล่านั้นให้บทเรียนกับฉันเอาไว้ ไม่น่าจะใช่บรรดาเนื้อหาสาระที่อยู่ในหนังสือหรอก เหอะ! ก็แน่ล่ะสิ แกมันไม่ใช่เด็กขยันนี่นา จะเปิดหนังสืออ่านก็วันสองวันก่อนหน้าการสอบเท่านั้น แน่นอนว่าด้วยระยะเวลากระชั้นชิดขนาดนั้น อ่านไปก็ไม่ค่อยช่วยอะไรเท่าไหร่ เข้าสมองซีกซ้าย ทะลุสมองซีกขวาไปเลย (ว่าแต่แน่ใจนะว่าแกมีสมอง)
แต่สิ่งที่ตำราเรียนพวกนั้นสอนฉัน น่าจะเป็นความอดทนในการยืนบนรถเมล์พร้อมกับแบกหนังสือสองสามกิโลเอาไว้ในมือให้ได้ตลอดรอดฝั่ง ไม่มีคนช่วยถือเหรอ อย่าได้แคร์จ้ะ แต่ใครเล่าจะรู้ว่าภายในใจฉันนี่ น้ำตาไหลพรากด้วยความตื้นตันปนสงสารตัวเองไปนานแล้ว
Source
ภาพประกอบ: Photo by Pixabay from Pexels
Comments
Post a Comment