เสียงเพลงในรถพ่อจ๋า


หากไม่นับช่วงอนุบาลที่ฉันและน้องมีรถโรงเรียนมารับส่งถึงบ้าน ตลอดเวลาหลังจากนั้น พ่อจ๋าจะเป็นคนขับรถพาลูกไปส่งโรงเรียนทุกวัน ตั้งแต่ช่วงประถม พอเริ่มเข้าชั้นมัธยม ต้องเรียนพิเศษหลังเลิกเรียน พ่อก็ยังคงต้องมารอรับลูกๆ กลับบ้าน จำได้ว่ามีครั้งหนึ่งพ่อจ๋าเคยจำวิชาเรียนของลูกสลับวัน ทำให้ไปรอรับน้องของฉันผิดที่ เรียกว่าเรียนพิเศษเยอะจนเล่นเอาคนรับส่งเบลอไปเลย

สมัยเป็นเด็กประถม แน่นอนว่าสภาพการจราจรในตอนนั้นคงไม่หนักหนาสาหัสเท่าปัจจุบัน คือมันก็มีจังหวะที่รถติดแหละนะ แต่แบบว่าก็ยังคงได้กลับมาบ้านทันเห็นพระอาทิตย์ตกไง ถ้าเป็นสมัยนี้เรอะ ความมืดและแสงไฟข้างถนนเท่านั้นที่คอยเป็นเพื่อนต้อนรับกลับบ้าน

เวลานั่งรถพ่อจ๋าไปโรงเรียน หรือเวลานั่งรถกลับบ้านตอนเย็นหลังเลิกเรียน ฉันจะได้ยินเสียงเพลงที่พ่อเปิดฟังจากวิทยุเพื่อผ่อนคลาย ส่วนมากจะเป็นเพลงฝรั่ง แต่ถ้าวันไหนแม่นั่งมาด้วย วันนั้นจะกลายเป็นการฟังเพลงในรถแบบ non-stop จำพวกวงเยื่อไม้ หรือสุนทราภรณ์ เผลอๆ ฟังไปมา แม่ก็จะเปิดคอนเสิร์ตในรถ ร้องเพลงให้พวกเราฟังระหว่างรถติด แม้ว่าลูกน้อยหอยสังข์ทั้งสองและสามีที่รักไม่ได้ร้องขอเลยก็ตาม

วันไหนที่ได้ฟังเพลงฝรั่งในรถพ่อจ๋า ฉันจะนั่งฟังพร้อมกับความสงสัยในใจไปด้วยว่า ไอ้ตรงท่อนนี้ นักร้องเค้าร้องว่าอะไรนะ ทำไมมันออกเสียงได้ประหลาดเหลือเกิน (ตอนนั้นยังเด็ก ความรู้ภาษาอังกฤษยังไม่ค่อยแตกฉานไง)

เมื่อมาคิดดูแล้ว การได้ฟังเพลงฝรั่งในช่วงนั้น อาจจะมีส่วนทำให้ฉันชอบฟังเพลงสากลเมื่อโตขึ้นก็เป็นได้ และยังทำให้ฉันชอบเรียนวิชาภาษาอังกฤษเป็นพิเศษ เพราะเวลาฟังเพลงแล้วอยากจะรู้ว่าเค้าร้องว่าอะไร และเนื้อร้องในเพลงมีความหมายยังไง

หนึ่งเพลงจากรถพ่อจ๋าที่ฉันยังจำได้คือเพลง Heart of Gold ของ Neil Young ศิลปินชาวแคนาดา สาเหตุที่จดจำเพลงนี้ได้ เป็นเพราะเสียง harmonica นี่แหละ ด้วยความที่ไม่เคยได้ยินเสียงเครื่องดนตรีชนิดนี้มาก่อน ทำให้ฉันจำได้นับแต่นั้น เวลาได้ยินเพลงนี้เมื่อไหร่ แม้จะไม่รู้จักชื่อเพลง ก็ยังจำได้ว่ามันคือเพลงเสียงแปลกๆ นี่เอง

หากจำไม่ผิด รู้สึกว่าเพลงนี้ถูกใช้เป็นเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่อง Eat Pray Love ที่ Julia Roberts แสดงนำด้วย ซึ่งภาพยนตร์เรื่องนี้อิงจากหนังสือชื่อเดียวกันที่แต่งโดย Elizabeth Gilbert หญิงสาวชาวอเมริกันที่หลังจากผ่านการหย่าร้าง เธอจึงออกเดินทางท่องเที่ยวไปยังประเทศอิตาลี อินเดีย และอินโดนีเซีย

ฉันไม่เคยดูภาพยนตร์เรื่องนี้แบบเต็มเรื่องหรอก เหมือนจะเคยเปิดผ่านๆ แค่แว้บนึงเท่านั้น แล้วบังเอิญได้เห็นฉากที่เพลงนี้บรรเลงในภาพยนตร์พอดี (เหมือนจะเป็นฉากตอนที่อยู่ประเทศอิตาลีล่ะมั้ง) ส่วนหนังสือ จำได้ว่าฉันก็ซื้อมานะ แต่จนบัดนี้ ยังไม่เคยเปิดอ่านแม้แต่หน้าเดียว เอาน่า...มีเอาไว้ก่อน มันก็อุ่นใจแหละ (มีมานานมากเลยนะแก หนังสือออกตั้งแต่ช่วงปี 2006 ดองเอาไว้ตั้งสิบกว่าปี แกคิดว่าหนังสือเป็นไวน์เรอะ)

หลายวันก่อน ฉันกลับมาฟังเพลงนี้อีกครั้งหลังจากไม่ได้ฟังมานานมากแล้ว ทำให้ฉันคิดถึงช่วงเวลาที่นั่งอยู่ในรถพ่อจ๋า ฟังเพลงไป พร้อมการเฝ้ารอคุณจราจรที่อยู่ในป้อม ทำการกดเปลี่ยนสัญญาณไฟของฝั่งฉันให้เป็นสีเขียวซะที พวกเราจะได้กลับถึงบ้านเร็วๆ ไปกินข้าวกินปลาให้อิ่มหนำสำราญ

ตัดภาพมาที่ปัจจุบัน หากเป็นสมัยนี้น่ะเหรอ เฮ้อ! แสนจะเซ็งแท้กับสภาพการจราจรในกรุงเทพ ไม่ต้องไปลุ้นสัญญาณไฟหรอก บางทีติดไฟแดงอยู่ที่เดิมสองสามรอบ รถก็ยังไม่ขยับเขยื้อนไปไหน ส่วนข้าวปลา ลืมมันไปได้เลย ทนหิวท้องร้องต่อไปเถอะ อืม...พูดไปแล้ว คุณพี่ lineman เค้าสามารถส่งอาหารกลางสี่แยกได้มั้ยเนี่ย

Source
ภาพประกอบ: Photo by Mihis Alex from Pexels

Comments