47th National Book Fair


วันนี้เป็นวันแรกของงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติครั้งที่ 47 ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 28 มีนาคม – 7 เมษายน 2562 โดยงานในครั้งนี้ ถือเป็นครั้งสุดท้ายที่จัดขึ้นที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ก่อนที่จะทำการปิดปรับปรุงสถานที่ซึ่งกินเวลาอย่างน้อย 3 ปี

หลังจากงานในครั้งนี้จบลง งานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติจะเปลี่ยนไปจัดที่อิมแพ็ค อารีน่า เมืองทองธานี (ไกลบ้านโคตรๆ คาดว่าหลังจากนี้ ฉันคงไม่ได้ไปงานหนังสือสามปีนั่นแหละ) และเมื่อศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์เปิดให้ใช้บริการอีกครั้ง งานหนังสือจึงจะกลับมาจัดที่เดิม

ดังนั้น งานหนังสือครั้งนี้ จึงถือเป็นการทิ้งทวนสำหรับฉัน เนื่องจากค่อนข้างมั่นใจเลยแหละว่าตัวเองคงไม่ได้ไปงานในครั้งต่อไป (และอีกหลายครั้งหลังจากนี้) เหตุผลก็อย่างที่บอกไปนั่นแหละ อิมแพ็คกับบ้านฉันนี่ ห่างไกลเหลือเกิน ไม่สะดวกในการเดินทาง และพูดตามจริงนะ จนป่านนี้ ฉันก็ยังไปอิมแพ็คเองไม่เป็นเลย

ตามธรรมเนียมในการเที่ยวชมงานหนังสือ ฉันจะต้องไปร่วมงานตั้งแต่วันแรก ซึ่งวันแรกในงานหนังสือ เป็นอะไรที่หนักหนาสาหัสสำหรับฉันเอามากๆ เพราะจากที่เคยเล่าให้ฟังแล้วในบทความก่อนหน้านี้ (เรื่อง “หนักกว่างานบ้าน คือ...” ลองไปย้อนอ่านกันดูได้) ที่ว่าวันแรกสำหรับฉัน จะเป็นการตามล่าหาหนังสือที่อยากได้ ซึ่งฉันจะทำการกอบโกย พยายามซื้อหนังสือเล่มที่เล็งเอาไว้ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้

แบบยอมเหนื่อย ยอมเมื่อย ยอมแบกหนังสือหนักๆ ในวันแรกไปทีเดียวเลย แต่ในกรณีหนังสือที่หมายตาเอาไว้ ยังไม่ออกขายในวันแรก ฉันก็จะหาโอกาสแวะมาซื้อในวันต่อๆ ไป ซึ่งส่วนมากพอพ้นจากการตามล่าหาหนังสืออย่างบ้าคลั่งในวันแรกไปแล้ว ครั้งต่อไปที่มาเที่ยวชมงาน ฉันจะสามารถเดินชมหนังสือทั้งหลายภายในบริเวณงานแบบผ่อนคลาย ไม่ต้องเร่งรีบ มีเวลาได้พินิจพิจารณาหนังสือได้มากกว่าเดิม

สำหรับปีนี้ ฉันไปกวาดหนังสือมาทั้งหมด 52 เล่ม หากให้เทียบเป็นอัตราส่วน สามารถแจกแจงออกมาได้เป็น หนังสือนิยาย 87% วรรณกรรมเยาวชน 3% วรรณกรรมภาษาญี่ปุ่น (และหนังสือเกี่ยวกับประเทศญี่ปุ่น) 2% และหนังสือภาพวาดบันทึกการเดินทาง 2%

ดูจากตัวเลขแล้ว ทุกคนน่าจะทราบได้ไม่ยากว่า ยัยคนนี้มันบ้านิยายอะไรขนาดนี้ อันที่จริง สาเหตุที่ทำให้หนังสือที่ฉันไปโกยมาในวันแรกมีจำนวนมากกว่าทุกปีที่ผ่านมา เป็นเพราะมีหนังสือชุดหนึ่งที่สำนักพิมพ์ตัดสินใจเปลี่ยนปกยกชุด เอ่อ คือว่าคือ...เวอร์ชันปกใหม่นี่มันสวยมากไง ประกอบกับฉันยังมีหนังสือไม่ครบถ้วน ก็เลยอดใจไม่ไหว ขอซื้อละกัน (พูดแบบเหนียมอายเล็กน้อย)

จากการวางแผนไว้ในใจมาแล้วว่าจะต้องซื้อหนังสือเปลี่ยนปกแบบยกชุดไปเลย ทำให้ฉันตระหนักเป็นลำดับต่อมาว่า เจ้ากระเป๋าเดินทางคู่ทุกข์คู่ยากที่เคยหอบหิ้วเดินในงานเสมอ ไม่น่าจะบรรจุหนังสือทั้งหมดที่ต้องการซื้อในวันแรกได้เพียงพอ ฉันเลยต้องเปลี่ยนมาใช้กระเป๋าเดินทางที่มีขนาดใหญ่ขึ้น โดยครั้งนี้ ฉันต้องพึ่งกระเป๋าเดินทางขนาด 20 นิ้ว

และ...เป็นไปตามที่ได้คาดการณ์เอาไว้ก่อนหน้านี้เช่นเดียวกันว่า แม้จะเลือกใช้กระเป๋าที่มีขนาดใหญ่ขึ้นแล้วก็ตาม เมื่อเดินซื้อหนังสือไปเรื่อยๆ แบกไปแบกมา มันก็เต็มกระเป๋าจนกระทั่งไม่เหลือพื้นที่ให้ใส่หนังสือเพิ่มได้อีก

โชคดีที่ฉันสะพายเป้ขนาดกลางไปอีกใบ ทำให้สามารถแบ่งเบาภาระน้ำหนักจากกระเป๋าเดินทางไปได้บ้าง (ย้ำว่าแค่แบ่งเบาภาระได้บ้างบางส่วนเท่านั้นนะ)

ความเมื่อยขั้นสุดได้มาเยือนฉันก็ตอนที่ต้องเปลี่ยนโซนในการเลือกซื้อหนังสือ แล้วต้องยกกระเป๋าเอาเอง เป็นการยกในแบบ manual นั่นก็คือ การใช้มือจับหูหิ้ว แล้วยกกระเป๋าขึ้น/ลงบันไดแต่ละขั้นด้วยตัวเองในแบบทุลักทุเลพอสมควร

เดี๋ยว! อย่าเพิ่งเข้าใจผิดไปว่าฉันเป็นพวกชอบทรมานตัวเอง สาเหตุที่ต้องยกกระเป๋าหนักอึ้งขึ้น-ลงบันได เป็นเพราะบริเวณนั้นไม่มีทางลาดที่ใช้ในการขนของน่ะสิ ฉันจึงต้องจำใจแบกกระเป๋าขึ้นลงบันไดไงล่ะ (ฮือ...เรื่องมันเศร้า)

สำหรับงานในวันแรกนี้ ฉันยังได้หนังสือไม่ครบจำนวนตามที่ต้องการ เพราะบางเล่มก็ยังเดินทางมาไม่ถึงงาน ต้องไปตามเก็บเอาในวันอื่น คิดว่าน่าจะได้ไปเดินเล่นที่งานอีกหลายครั้งเหมือนกัน

ที่แน่ๆ เลย วันนี้เหนื่อยโฮก เหนื่อยกว่างานหนังสือครั้งที่แล้วอีก (ก็แน่อยู่แล้ว ครั้งนี้แกโกยหนังสือกลับบ้านเยอะกว่าคราวที่แล้วนี่นา) นั่งพิมพ์ไป ตาก็จะปิดอยู่รอมร่อ เรี่ยวแรงก็ยังไม่คืนกลับมาเต็มร้อย
งั้นวันนี้ ฉันขอตัวไปอาบน้ำ ประแป้ง เข้านอนก่อนนะ เดี๋ยวพลังกลับคืนมา อ่านเล่มไหนแล้วสนุก ค่อยเอามาเล่าให้ฟังต่อไป

Source
ภาพประกอบ: Photo by freestocks.org from Pexels

Comments