วันนี้ฉันมีภารกิจที่ตั้งใจว่าจะต้องทำ นั่นก็คือการตามล่าหาหนังสือที่อยากอ่าน หลังจากได้แต่เฝ้าวนเวียนเข้าไปอ่านเรื่องย่อในร้านขายหนังสือออนไลน์ และ (ส่วนมาก) มัวแต่สองจิตสองใจว่าจะสั่งซื้อดีหรือไม่ สุดท้ายเลยยังไม่ได้ซื้อสักเล่ม
เมื่อนั่งคิดในช่วงสายของวันว่ากลางสัปดาห์แบบนี้ รถไม่น่าจะติด (มั้ง) เป็นโอกาสดีในการออกไปหาซื้อหนังสือที่อยากได้มานานซะที หลังจากตัดสินใจได้และฝากลูกรัก (หมาน้อยของฉัน) เอาไว้กับพ่อจ๋า ฉันจึงรีบแจ้นออกจากบ้านด้วยความแจ่มใส
เดินถึงกลางซอย เห็นรถสองแถววิ่งผ่านไปแบบที่คนขับรถไม่ได้มองเลยว่ามีผู้โดยสารหนึ่งคนที่ต้องการโดยสารไปด้วย แต่เพราะเห็นว่าคนขับรถขับด้วยสปีดเต่าคลาน ฉันเลยตัดสินใจวิ่งตามรถไป ปากก็ร้องตะโกนโหวกเหวก “ไปด้วย รอก่อน ไปด้วย” แต่คนขับก็ยังไม่ได้ยิน ตอนนั้นผู้โดยสารตกค้างกลางถนนอย่างฉันเริ่มจะเคืองขึ้นมาแล้ว (แต่ก็ทำอะไรไม่ได้หรอกนะ ได้แต่ให้พรคนขับอย่างดุเดือดอยู่ในใจ)
โชคยังดีที่ในระหว่างฉันกำลังจะเริ่มปลงว่าตัวเองคงพลาดรถเที่ยวนี้ซะแล้ว มีคุณน้องผู้หญิงที่ยืนอยู่หน้าปากซอยได้โบกรถให้จอดเพื่อที่จะขึ้น เห็นดังนั้น ฉันเลยเริ่มออกวิ่งตามรถอีกรอบ และคราวนี้คนขับรถก็เห็นฉันซะที (ความจริงคุณพี่ควรจะเห็นฉันตั้งนานแล้วนะ วันนี้อุตส่าห์เลือกใส่เสื้อสีส้มสดใส กางเกงเขียว อารมณ์ประมาณมะละกอเดินได้ ไม่เข้าใจจริงจริ๊งว่าทำไมคุณพี่ถึงไม่สังเกตเห็นฉัน มันไม่เด่นพอรึไงเล่า)
เอาเถอะ ในที่สุดฉันก็สามารถโดยสารสองแถวออกมาถึงถนนใหญ่ได้ จากนั้นก็ต่อรถเมล์เล็ก (ความจริงอยากนั่ง ปอ. นะ แต่จังหวะนั้นมันไม่มีวิ่งผ่านมาเลยสักคันเดียว) แล้วก็ไปต่อรถไฟฟ้าเพื่อไปสยามพารากอน จุดหมายปลายทางของฉันในวันนี้
ถึงห้างเรียบร้อย เป้าหมายแรกไม่ใช่ร้านหนังสือ แต่จะต้องเติมพลังให้เต็มที่ก่อน จะได้มีแรงเดินดูหนังสือไง ฉันไปถึงห้างในช่วงบ่ายกว่าๆ เข้าไปแล้ว แต่ผู้คนก็ยังคงเยอะเหมือนมดแตกรัง เกินครึ่งเป็นนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติทั้งนั้น จีน ฝรั่ง แขกมีหมดจ้า
เพื่อความรวดเร็วและไม่ให้เสียเวลามากเกินไป ฉันตัดสินใจเดินเข้าไปต่อแถวที่ร้าน Burger King ทันที สั่งชุดไก่กรอบเบอร์เกอร์ที่มีเฟรนช์ฟรายส์และโค้กรวมอยู่ด้วย แต่เนื่องจากฉันไม่อยากกินน้ำอัดลม เลยขอเปลี่ยนโค้กเป็นชามะนาวแทน
นั่งรอสักพัก อาหารที่สั่งก็ได้ครบ เดินไปหยิบจากเคาน์เตอร์มานั่งกินด้วยความหิวโหย ระหว่างที่กำลังกัดไก่กรอบเบอร์เกอร์เข้าปาก อีกมือก็ถือเฟรนช์ฟรายส์ เสียงถาดพลาสติกหล่น เคร้ง! ก็ดังขึ้นด้านหลัง ในใจฉันคิดว่าสงสัยคงมีใครเผลอทำถาดหล่นพื้นแน่ๆ
หันไปดู ผิดคาดนิดหน่อย ถาดหล่นพื้นน่ะใช่ แต่ที่เพิ่มเติมคือคนก็หล่นพื้นด้วย เป็นเด็กผู้หญิงฝรั่ง อายุน่าจะประมาณ 6-7 ขวบ เธอนั่งอยู่บนพื้นที่มีน้ำโค้กไหลนอง แถมมีพร็อพเป็นก้อนน้ำแข็งกระจัดกระจายโดยรอบ หนูน้อยน่าจะยังดูงงๆ ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับตัวเองเลยได้แต่นั่งนิ่งๆ อยู่ตรงพื้น เห็นแบบนั้นแล้ว คุณป้าโต๊ะด้านข้างซึ่งเป็นคนไทย คงจะสงสารหนูน้อยที่นั่งเปียก จึงช่วยจับแขนดึงตัวหนูน้อยคนนี้ให้ลุกขึ้นจากพื้น
ยังไม่ทันที่หนูน้อยจะตั้งหลักได้มั่นคง พี่ชายของหนูน้อยคนนี้ ซึ่งก็คงอายุมากกว่ากันไม่เกิน 1-2 ปี อยู่ดีๆ ก็เด้งตัวขึ้นมาจากเก้าอี้ เนื่องจากเด็กชายคนพี่นั้น นั่งหันหลังให้ฉัน ทำให้ฉันไม่ทันได้เห็นว่าทำไมเจ้าหนูถึงมีอาการเช่นนั้น แต่เดาเอาว่าสงสัยน้ำโค้กที่หก มันคงจะค่อยๆ ไหลไปทางที่พี่ชายนั่งอยู่ ด้วยความตกใจเจ้าหนูเลยรีบลุกขึ้นยืนโดยลืมระมัดระวัง
และ...เคร้ง! เอาอีกแล้วค่ะท่านผู้อ่าน คราวนี้ได้เห็นจังๆ ราวกับภาพสโลว์โมชัน อาหารในถาดทั้งหมดเด้งตัวขึ้นไปในอากาศ จากนั้นก็ร่วงกราวราวกับสายฝน หล่นกระจัดกระจายลงบนพื้น มีทั้งแฮชบราวน์ (ฮือ...เสียดายอ่ะน้องจ๋า พี่อยากกิน) แผ่นขนมปังที่กระเด็นตกไปคนละทิศคนละทาง ก้อนเนื้อกลมๆ ชีสก็ด้วย เห็นแล้วก็สงสารน้องเหลือเกิน แบบว่าพวกแกเล่นหล่นหมด แบบนี้ก็ไม่เหลืออะไรให้น้องกินเลยเซ่
ผ่านไปไม่นาน คุณพ่อของเด็กทั้งคู่ ซึ่งในมือข้างหนึ่งมีไอศกรีมช็อคโกแลตซันเดย์ก็เดินมาถึงโต๊ะ ฉันยังจำสีหน้าของคุณพ่อท่านนั้นได้ดีเลย แบบหน้านิ่งมาก แต่ในใจคงกำลังคิดว่า “ตรูว่าตรูไปแป๊บเดียวนะ แล้วนี่มันเกิดอะไรขึ้นกันฟระ ทำไมลูกตรูเป็นแบบนี้ แล้วอาหารล่ะ อาหารมันไปไหนหมดเนี่ย”
ต่อจากนั้น คุณพ่อก็มองไปที่ซากความเสียหายที่หล่นเกลื่อนกลาดพื้นด้วยความละเหี่ยใจ บ๊ายบายขนมปัง โซลองก้อนเนื้อ ลาก่อนชีส แฟร์เวลแฮชบราวน์
เมื่อคุณพ่อเงยหน้าขึ้นจากพื้น ก็หันมามองลูกสาวที่ตัวเปียกโค้ก ซีนนั้นพีคมาก ฉันนี่แทบจะอ่านใจทั้งคุณพ่อคุณลูกได้เลย ตัวลูกสาวนั้น น่าสงสารหน่อย เพราะเปียกและคงจะเริ่มเหนียวตัวบ้างแล้ว แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรกับคุณพ่อ ไม่ยอมมองหน้าพ่อเลยด้วยซ้ำ คงจะกลัวโดนพ่อดุ ในใจคุณน้องคงคิดว่า “อย่านะพ่อจ๋า อย่าดุหนูเลย แค่นี้หนูก็เศร้าพอแล้ว นี่เริ่มเหนียวตัวแล้วด้วย” สีหน้าของคุณน้องดูก้ำกึ่ง เหมือนอยากร้องไห้แต่อีกใจก็กลัวพ่อจะดุ ขาเผือกอย่างพี่เห็นแล้วอึดอึดแทน
ส่วนด้านคุณพ่อ เมื่อเช็คสภาพความปลอดภัยของลูกสาวแล้วก็หันไปมองลูกชายแว้บนึง และหันกลับมามองคนน้องอีกครั้ง เห็นหน้านิ่งๆ ของคุณพ่อ ฉันก็เดาได้ว่า อารมณ์หนึ่งก็คงอยากจะดุลูกแหละนะ (เสียดายตังค์ค่าอาหาร ได้กินไปแค่นิดเดียวไง) แต่อีกใจนึงก็กลัวลูกจะร้องไห้ เมื่อแอบมองหน้าคุณพ่อที่จ้องหน้าลูกสาวโดยไม่มีคำว่ากล่าวอะไรออกมาทั้งสิ้น ฉันเดาเลยว่าคุณพ่อน่าจะกำลังภาวนาว่า “อย่านะลูกเอ๋ย อย่าร้องไห้ออกมานะลูก โอ๊ย! ทำไงต่อดีวะเนี่ยตรู”
ไอศกรีมซันเดย์ที่คุณพ่อถือมาก็ไม่มีใครได้กิน และก็ไม่รู้เหมือนกันว่าคุณพ่อซื้อให้ตัวเอง หรือเดินออกไปซื้อเพิ่มให้ลูกกันแน่ เพราะตอนนั้นเหมือนทุกคนหมดอารมณ์จะกินไปแล้ว จากนั้นคุณพ่อก็เรียกลูกทั้งสองให้เดินตามกันออกไปตรงเคาน์เตอร์สั่งอาหาร ฉันมองตามไป (เผือกไม่เลิกนะแก) เลยได้เห็นว่าคุณพ่อไปแจ้งพนักงานของทางร้านเกี่ยวกับหายนะทั้งหมดทั้งปวง จากนั้นสามคนพ่อลูกก็เดินออกไปจากร้าน เป็นอันจบการเผือก กลับมาตั้งใจกินต่อ จะได้ไปเดินเลือกหนังสือซะที อือ...ถูกต้อง ก็มันคือจุดประสงค์แท้จริงของแกในวันนี้ไม่ใช่รึ
นี่ยังแอบสงสัยในใจต่ออีก ไม่รู้ว่าหลังจากนั้น พี่น้องและคุณพ่อได้ไปกินอาหารร้านอื่นกันหรือไม่ หรือคุณพ่อจะพาลูกทั้งสองกลับที่พักกันเลย แต่แหม...คุณพ่อคงไม่ใจร้ายกับลูกที่ยังเล็กทั้งสองคนหรอก ยังไงพี่เผือกก็ขอให้น้องโชคดีนะจ๊ะ มื้อต่อไปหวังว่าน้องจะอิ่มอร่อยแบบราบรื่น น้ำไม่หก อาหารไม่ลอย ไม่หล่น และที่สำคัญ (หวังว่า) น้องคงไม่โดนคุณพ่อดุหรอกเนอะ
Source
ภาพประกอบ: Photo by Valeria Boltneva from Pexels
Comments
Post a Comment