Sinéad O'Connor คือนักร้องหญิงชาวไอริชหน้าตาสวยคม เห็นหน้าตาของเธอแล้ว ฉันมักจะนึกไปถึงนักแสดงชาวอเมริกันสองคน ได้แก่ Demi Moore ในบทบาทจากภาพยนตร์เรื่อง G.I. Jane ส่วนอีกคนหนึ่งก็คือ Winona Ryder จากภาพยนตร์เรื่อง Girl, Interrupted
บทเพลงของ Sinéad ที่ฉันชอบมากๆ มีชื่อว่า No Man’s Woman เนื้อหาของเพลงเป็นการเล่าถึงเรื่องราวที่ (เชื่อว่า) เธอเคยพบเจอ บอกประสบการณ์เจ็บช้ำและการหลอกลวงจากการคบหากับมนุษย์ผู้ชาย จนมาถึงจุดที่ว่าไม่เอาแล้วเฟ้ย ไม่ต้องการผู้ชายในชีวิตนี้ ทำนองนั้น
มิวสิควีดีโอเพลงนี้ก็เป็นที่น่าจดจำเช่นเดียวกัน เริ่มต้นด้วย Sinéad ในชุดเจ้าสาวสีขาวบริสุทธิ์ ปล่อยผมยาว พร้อมกับถือช่อดอกไม้กำลังยืนอยู่ในโบสถ์ หน้าแท่นพิธีที่ใช้สาบานตนในวันแต่งงานเคียงข้างกับเจ้าบ่าวของเธอ
ร้องเพลงไปได้สักสี่ห้าประโยค ทันใดนั้น เหมือนเธอนึกได้ว่า ไม่เอาแล้วโว้ย ไม่ต่งไม่แต่งมันแล้ว ไปดีกว่าว่ะ จากนั้นเธอก็ดึงผ้าลูกไม้บางเบาที่ใช้คลุมผมเจ้าสาวออกจากศีรษะจนผมยุ่ง แต่เธอก็หาได้แคร์ไม่ ยังคงตั้งหน้าวิ่งออกไปจากโบสถ์ ท่ามกลางความตกใจของผู้คนและเจ้าบ่าวที่ถึงกับต้องยกมือกุมขมับตัวเอง หลังจากนั้นเขาจึงวิ่งตามเธอไป แต่ก็ไม่ทันการณ์ซะแล้ว เพราะเธอขึ้นรถและขับออกไปจากตรงนั้นทันที
ต่อจากนั้น ไปไงมาไงไม่ทราบ รถของเธอก็มาโผล่อยู่กลางทะเล หรือว่าเธออาจไปขอยืมรถของ Mr. Weasley จากเรื่อง Harry Potter and the Chamber of Secrets มาใช้หลบหนีการแต่งงานรึป่าวนะ
นั่งร้องเพลงต่อในรถท่ามกลางเสียงคลื่นลมทะเลอยู่อีกพักหนึ่ง (อะไรมันจะชิวขนาดนั้น) เธอก็เปิดประตูรถออกมาและวิ่งเข้าหาฝั่ง โดยมีสายตาสงสัยใคร่รู้ของเหล่าชาวประมงที่กำลังลากแหหาปลากันอยู่ในบริเวณนั้น
วิ่งไปสักพัก เธอก็ล้มลง โดยเอามือยันพื้นทรายไว้ จากนั้นความพีคก็บังเกิด เมื่อเธอถอดวิกผมออก อะฮ้า...(ต้องมีเสียงประกอบสักเล็กน้อย เพื่อสร้างความฮือฮา) ทำให้คนดูเพิ่งจะเห็นว่าทรงผมที่แท้ทรูของเธอคือสกินเฮด ไม่ใช่ผมยาวสลวยในลุคผู้หญิงหวานเหมือนกับช่วงต้นเพลง
ถอดวิกออกไปแล้ว เธอก็ยังคงวิ่งต่อไป จนเริ่มไม่แน่ใจว่านี่เธอกำลังลงแข่งวิ่งมาราธอนในธีมเจ้าสาวมาดเซอร์อยู่ใช่มั้ย วิ่งผ่านหาดทราย ผ่านทุ่งหญ้า รางรถไฟ แบบชีวิตจริงถ้าดันไปทะเล่อทะล่าวิ่งใกล้รางรถไฟขนาดนั้น แถมยังล้มสะดุดหน้าคว่ำลงไปอีก อาจโดนรถไฟทับแบนแต๊ดแต๋ไปแล้วก็เป็นได้
เมื่อเธอวิ่งมาจนถึงถนนในเมือง ถึงเพิ่งจะเริ่มรู้สึกรำคาญกับความพะรุงพะรังของชุดเจ้าสาวล่ะมั้ง (ดีเลย์มาก ถ้าเป็นฉันคงรู้สึกตั้งแต่ตอนเปิดประตูรถเพื่อเดินลุยน้ำทะเลออกมานู่นแล้ว) จากนั้นเธอเลยหันมายึดหลักมินิมอลสไตล์ ไอ้ผ้านี่เกะกะนักใช่มะ โยนมันทิ้งไปซะก็หมดเรื่อง
ต่อมาเธอก็เริ่มหมดแรงอีกครั้ง ล้มลงไปนอนบนบาทวิถี โดยที่คนเดินถนนบางคนก็เดินข้ามตัวเธอไปอย่างไม่ใส่ใจ แถมมีมนุษย์ป้ามาแอบจิ๊กของไปจากมือเธออีกด้วย (เดาว่าน่าจะเป็นกุญแจรถ จะว่าไปแล้ว แย่มากเลยนะป้าเนี่ย เอาไปคืนเค้าเหอะป้า)
ขณะเดียวกัน เหล่าผู้พิทักษ์ตัวเธอก็ได้ออกมาปกป้องเธอเอาไว้ (ผู้พิทักษ์นี่มาในแนวนักร้องเพลงเร็กเกกับผมทรงเดรดล็อค) พร้อมทั้งมอบกีตาร์ (ที่มาในธีมเร็กเกเช่นเดียวกัน) ให้กับเธอที่ฟื้นและลุกขึ้นมาจากลุคเจ้าสาวทรหด เปลี่ยนมาอยู่ในชุดร็อกเกอร์หนังสีดำ ห้อยสร้อยไม้กางเขนสีทองอันโต นี่ถ้าเสื้อผ้าหลวมกว่านี้ เปลี่ยนไปเป็นแร็ปเปอร์ได้เลย โย่ว โย่ว บลิง บลิง
จากนั้น Sinéad ที่เหมือนว่าจะแฮปปี้กับลุคใหม่ของตัวเอง ก็ยืนถือกีตาร์หมุนตัวไปรอบๆ (อารมณ์ประมาณเหมือนตรูได้เกิดใหม่แล้ว) และลงท้ายด้วยการที่เธอยืนเล่นกีตาร์ที่ได้มาจากผู้พิทักษ์อยู่ตรงชายหาดเดิมที่เธอวิ่งหนีจากมาในตอนต้น พร้อมกับคนหาปลาที่กำลังเก็บวิกผมที่เธอโยนทิ้งไว้ขึ้นจากพื้นทราย และได้เงยหน้าขึ้นมามองเธอ (ลุงแกคงยังงงๆ อยู่แหละว่า เฮ้ย! ยัยนี่มาอีกแล้วเรอะ ที่สำคัญคือโผล่มาจากไหน มาได้ไงวะนี่)
จะบอกว่าซีนจบเพลงที่ฉันได้เห็นใบหน้าด้านข้างของเธอ ขณะกำลังร้องเพลงและบรรเลงกีตาร์ไปด้วย มันดูคูล ดูเท่มาก คนละฟีลกับผู้หญิงในชุดเจ้าสาวตอนเริ่มต้นแบบหน้ามือเป็นหลังมือ
No Man’s Woman จึงเหมือนกับเป็นการบอกกล่าวว่า เฮอะ! ผู้ชายน่ะเรอะ ไม่เอาหรอก ไม่ต้องการ ยุ่งยาก วุ่นวาย สับสน ไม่ขอยุ่งเกี่ยวดีกว่า สู้เอาเวลามาร้องเพลงเพราะๆ เท่ๆ ฟังเองคนเดียวก็ไม่ได้
ในเมื่อ Sinéad สามารถแต่งเพลงที่เปรียบเสมือนการประกาศจุดยืนภายในใจของตนเองออกมาได้ชัดเจนขนาดนี้แล้ว เชื่อว่าหญิงที่มีจิตใจแกร่งอย่างเธอคงเมินมนุษย์ผู้ชายได้ไม่ยากเย็นเท่าไหร่
แต่สำหรับฉันนั้น เห็นจะต้องขอบอกว่าชีวิตนี้ยังคงต้องการได้เห็นผู้ชายหน้าตาหล่อๆ เป็นอาหารตา เป็นสิ่งปลอบประโลมใจ ทำให้โลกสดใส จะได้ยังคงวิ่งวนเที่ยวเล่นอยู่ในทุ่งลาเวนเดอร์แสนสวยต่อไปเรื่อยๆ (นั่นมันเรียกว่าอาการหลงความหล่อผู้ชายจนหาทางออกไม่เจอมากกว่ามั้ง)
Source
ภาพประกอบ: Photo by Dmitry Zvolskiy from Pexels
Comments
Post a Comment