Food Route


วันนี้จะมารีวิวร้านอาหารที่ไปลองชิมมาแล้วเรียบร้อย ต้องเล่าให้ฟังก่อนว่าฉันอยากไปกินอาหารร้านนี้มานานมาก (ก.ไก่ยาวสองร้อยล้านตัว) เนื่องจากเห็นทั้งภาพอาหาร ทั้งการรีวิวจากลูกค้าที่เคยได้ไปเยือนและลองลิ้มรสกันมาแล้ว มันช่างยั่วยวนน้ำบ่อน้อยและน้ำย่อยในกระเพาะของฉันเหลือเกิน

ด้วยความที่สถานที่ตั้งของร้านและบ้านฉันมันค่อนข้างจะห่างไกลกันพอสมควร ดังนั้นจึงต้องทำการวางแผนล่วงหน้าเอาไว้เลยว่าจะไปวันไหน และในที่สุด เมื่อได้เวลาฤกษ์งามยามดี วันนี้นี่แหละเป็นวันที่ฉันจะได้พิชิตอาหารที่อยากกินมานานแสนนานแล้ว

ออกจากบ้านประมาณแปดโมงครึ่งเพื่อเดินทางไปสู่จุดหมายปลายทาง เส้นทางดูยาวไกลนัก เริ่มด้วยการเรียกพี่วินแถวบ้านให้ไปส่งที่สถานี Airport Link จากนั้นไปต่อ BTS ลงตรงสถานีสนามกีฬาแห่งชาติ ถัดมาก็โบกรถปอ. นั่งไปสู่ที่หมายแบบเย็นทั้งใจและแผ่นหลัง เพราะไม่ต้องร้อนและเปียกแฉะจากเหงื่อ ถึงวัดโพธิ์ประมาณเก้าโมงครึ่ง (นับว่าทำเวลาในการเดินทางได้เร็วพอสมควรเลยล่ะ)

เมื่อลงรถ ปอ.48 ตรงป้ายวัดโพธิ์แล้ว ฉันก็ข้ามถนนไปฝั่งวัด เดินเอ๋อๆ อยู่พักหนึ่ง เห็นท่าจะไม่ได้การ เลยหันมองไปรอบๆ เจอผู้ช่วยชีวิตคือคุณพี่คนขับรถตุ๊กๆ ละแวกนั้น คุณพี่บอกว่าให้เดินไปตามเส้นถนนเชตุพนเรื่อยๆ จนมาทะลุออกถนนมหาราช จากนั้นให้เลี้ยวไปทางซ้าย ซอยเพ็ญพัฒน์ 1 สถานที่ตั้งร้านจะอยู่ฝั่งตรงข้าม

ข้ามถนนมาอยู่ฝั่งตรงข้ามแล้ว เดินต่อไปอีกพักนึง พร้อมกับแหงนหน้ามองป้ายสีน้ำเงินที่เอาไว้บอกชื่อซอย โธ่ถัง กะละมัง หม้อ ไห! มันกลับไม่มีป้ายอะไรทั้งนั้นน่ะสิ ก็เลยได้แต่เดินต่อไปเรื่อยๆ สายตาก็สอดส่ายเมียงมองหาป้ายบอกทางไปด้วย ทันใดนั้น ฉันก็เหลือบไปเห็นราวเหล็กกั้นที่ตั้งอยู่หน้าซอยหนึ่ง ตรงด้านหน้าราวเหล็กมีป้ายไม้สีน้ำตาลเขียนบอกชื่อซอยเพ็ญพัฒน์ 1 เย่ ในที่สุดก็เจอจนได้

ยกมือขึ้นมองนาฬิกา เห็นว่ายังเหลืออีกตั้ง 20 นาทีกว่าจะสิบโมงเช้าที่เป็นเวลาเปิดทำการของร้าน ฉันเลยเดินเตร็ดเตร่แถวนั้นวนไปวนมา แต่ไม่กล้าเดินห่างร้านมากนัก เพราะอยากเป็นลูกค้าคนแรกของร้านในวันนี้ไง จะได้ไม่ต้องรอนาน

ระหว่างที่ฉันเดินฆ่าเวลาไปเรื่อยๆ อยู่นั้น บังเอิญไปเจอร้านขนมร้านหนึ่งในละแวกใกล้กัน โดยด้านหน้าของร้านขนมเป็นกระจกใส มองเข้าไปภายในจะเห็นตู้ใส่ขนมเค้กหลากหลายชนิด อู๊ย...มันน่ากินมาก เห็นแล้วเกิดกิเลสทันที แต่ไม่ได้ๆ ยังไงก็จะต้องกินข้าวก่อน อดใจไว้ เดี๋ยวกินข้าวอิ่มค่อยเดินมากินดีกว่า

เมื่อใกล้เวลาสิบโมง ฉันก็รีบเดินกลับไปยังซอยเพ็ญพัฒน์ 1 และยืนรอเวลาร้านเปิด ประมาณสิบโมงกว่านิดๆ คุณพี่พนักงานก็ยกป้ายเมนูอาหารมาตั้งหน้าร้าน และถือพรมเช็ดเท้าที่มีคำว่า “Welcome” ออกมาวางตรงพื้นหน้าร้าน เห็นดังนั้น ฉันเลยรีบพุ่งไปหาคุณพี่พนักงาน พร้อมกับถามว่าร้านเปิดแล้วใช่หรือไม่ เมื่อคุณพี่พยักหน้าตอบรับ ฉันก็รีบเปิดประตูกระจกเดินเข้าไปในร้าน

ร้านที่ฉันมาเยือนในวันนี้มีชื่อว่า Food Route เพียงก้าวแรกที่เหยียบเข้าไปในร้าน ก็ได้ยินเสียงทักทายจากคุณแม่ของเชฟยุ้ย จากนั้นฉันก็เดินไปอ่านเมนูอาหารและเครื่องดื่มตรงหน้าเคาน์เตอร์ใกล้กับตู้ใส่เค้ก

เมื่อกวาดสายตามองเมนู ซึ่งที่จริงก็ไม่ค่อยจำเป็นเท่าไหร่หรอก เพราะรู้อยู่แล้วว่าอยากกินอะไร ฉันจึงถามคุณแม่ของเชฟว่าวันนี้มีเซี่ยงไฮ้ต้มยำปลาเก๋ามั้ยคะ น่าเสียดายเป็นอย่างยิ่งที่มันดันไม่มี ไม่เป็นไรนะแก ไม่ต้องปากเบะไป ยังไงก็ยังมีเมนูอื่นปลอบใจ

แต่ถึงกระนั้นก็ตาม เมื่อพลาดหวังจากเซี่ยงไฮ้ต้มยำปลาเก๋า เล่นเอาฉันเอ๋อๆ ไปเล็กน้อย เมื่อสติกลับมา เลยทำการสั่งเครื่องดื่มมาย้อมใจตัวเองก่อน ฉันเลือกสั่งชาเขียวโตเกียว ส่วนอาหารฉันสั่งข้าวผัดแจ่วแซลมอนย่าง เห็นคุณแม่จดรายการอาหารที่ฉันสั่งลงในกระดาษ โดยเขียนกำกับตรงมุมขวาด้านบนไว้ว่า “คิวที่ 1” โวะ โวะ โวะ! มันแสนจะยินดีปรีดา น่าดีใจยิ่งกว่าการสอบได้ที่ 1 มากมายหลายเท่า

จากนั้นหันมองไปในตู้เค้ก กลับไม่เห็นเค้กยาคูลท์ปีโป้สีสันสวยงามที่ตั้งใจไว้ว่าจะมากิน เห็นแต่เค้กมะพร้าวอ่อนเท่านั้น รวบรวมความกล้าถามคุณแม่เชฟยุ้ย ซึ่งก็ได้รับคำตอบว่าวันนี้ไม่มีเค้กยาคูลท์ปีโป้หรอกหนาเจ้า มีแต่เค้กมะพร้าวอ่อนนี่แหละจ้ะ ซึ่งฉันไม่ได้อยากกินเป็นพิเศษไง ฮือๆ อดครั้งที่สอง

ระดับความท้อแท้เพิ่มมาอีกหนึ่งขีด นั่นจึงทำให้ฉันต้องสั่งอาหารคาวอีกหนึ่งจานเอามาปลอบประโลมจิตใจอันบอบช้ำ (เว่อร์มาก) เลยเลือกสั่งข้าวเนื้อปูผัดพริกเกลือ คุณแม่ของเชฟยุ้ยก็ใจดีมีเมตตากับหญิงสาวอย่างฉัน ท่านถามฉันเพื่อความแน่ใจว่านี่สั่งมากินคนเดียวใช่มั้ย ฉันจึงตอบยืนยันอย่างภูมิใจพร้อมรอยยิ้ม ท่านเลยแนะนำว่างั้นจานที่สองนี่เอาข้าวน้อยๆ ก็แล้วกันนะจ๊ะ คุณแม่ใจดีจังเลยค่ะ

เมื่อสั่งอาหารเสร็จ ฉันก็นั่งรอที่โต๊ะ พร้อมกับชมบรรยากาศภายในร้านไปพลาง ได้ยินคุณแม่ถามขึ้นมาว่าชาเขียวนี่จะเอาแบบหวานน้อยหรือหวานปกติ ฉันเลือกความหวานปกติ จากนั้นระหว่างรออาหารและเครื่องดื่ม ฉันก็ลุกขึ้นมาเก็บภาพภายในร้าน

เมื่อเครื่องดื่มมาเสิร์ฟ ถ่ายภาพไปอีกเล็กน้อย นั่งดูดชาเขียวปั่นไปไม่ถึงสามอึก ลูกค้าคิวที่สองของวันก็เดินทางมาถึงร้าน ซึ่งตัวลูกค้าน่ะ ไม่ได้มาทานที่ร้านหรอก แต่เลือกใช้บริการพนักงาน Lalamove มาสั่งอาหารแทน

ตอนที่คุณน้อง Lalamove ก้าวเท้าเข้ามาในร้าน เมื่อเห็นว่าฉันนั่งเจ๋อดูดน้ำอยู่ คุณน้องดูชะงักไปจิ๊ดนึง คาดว่าคงแอบผิดหวังเล็กๆ ที่ตัวเองพลาดการเป็นลูกค้าคิวแรกของวัน (อยากเข้าไปตบบ่าปลอบใจ แต่ไม่เอาดีกว่า เดี๋ยวเจอลูกถีบ)

นั่งฟังคุณน้องพนักงานสั่งอาหารที่เคาน์เตอร์กับคุณแม่ เมื่อคุณแม่รับออร์เดอร์ที่สองของวันเสร็จเรียบร้อย คุณแม่ก็เดินออกไปนอกร้าน ไม่รู้เหมือนกันว่าไปไหน (แกอย่าเผือกเรื่องคนอื่น) จากนั้นอีกแป๊บนึง ประตูหน้าร้านก็เปิดอีกหนโดยคุณน้อง Lalamove คนที่สอง ซึ่งนับเป็นลูกค้าคิวที่สามของทางร้าน

คิวที่สามนี้ ต้องเดินมาหยิบบัตรคิวแล้วนั่งรอ ยังไม่ได้สั่งอาหารใดๆ ทั้งสิ้น จากนั้นในอีกสองสามนาทีถัดมา เสียงตะหลิวโช้งเช้งที่กระทบกับกระทะก็ค่อยๆ เงียบลง คุณยุ้ยที่เป็นเชฟหนึ่งเดียวของทางร้าน เดินถืออาหารทั้งสองจานมาเสิร์ฟฉันที่โต๊ะ อิอิ คิคิ มาแล้ว จะได้กินแล้ว แต่ก่อนอื่น ขอถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึกก่อนนะ (หยุด! ไม่ต้องกลอกตามองบนใส่ฉัน)

เพียงตักข้าวผัดแจ่วพร้อมปลาแซลมอนเข้าปาก อืม...อร่อย หอมทั้งน้ำแจ่ว เนื้อปลาแซลมอนก็ดี ไม่เสียแรงที่อุตส่าห์ดั้นด้นมาไกล จากนั้นฉันก็เปลี่ยนมาชิมข้าวเนื้อปูผัดพริกเกลือดูบ้าง โห! จานนี้ยิ่งอร่อย รสชาติถูกใจฉันมาก หอมกลิ่นซอสปรุงรสที่ผัดมาเข้ากันเป็นอย่างดีกับเนื้อปู กลมกล่อม อูมามิค่ะ

นั่งกินสลับกันไปไม่ถึงสิบคำ ประตูก็เปิดอีกครั้ง และเช่นเคยที่ฉันได้เห็นคุณน้อง Lalamove No. 3 ซึ่งเป็นลูกค้าคิวที่สี่ของวัน เป็นอันว่าภายในร้านมีหนุ่มเสื้อส้มนั่งรออาหารกันอยู่ถึงสามคนด้วยกัน

จริงๆ แล้วสาระสำคัญของเรื่องนี้ ฉันจะต้องรีวิวอาหารนี่นา แต่ทำไมเขียนไปเขียนมาแล้วมันยาวเฟื้อยแบบนี้ สรุปเลยละกัน ทั้งข้าวผัดแจ่วแซลมอนย่าง และข้าวเนื้อปูผัดพริกเกลือที่ฉันเลือกสั่งมากินในวันนี้ รสชาติอร่อยทั้งสองจานเลยล่ะ

ส่วนชาเขียวโตเกียว มันออกหวานไปนิดนึง (แต่คุณแม่ก็ถามแกแล้วนี่) ไม่เป็นไร คราวหน้าถ้ามาอีก ฉันจะได้รู้ว่าควรสั่งแบบหวานน้อย เมื่อกวาดทุกอย่างลงท้องหมดเกลี้ยง จะเหลือก็แค่พริกขี้หนูหั่นซอยสีเขียว-แดง และผักชีหนึ่งก้านที่ตกแต่งมาในจานข้าวเนื้อปูผัดพริกเกลือ ฉันก็อิ่มฟินสมใจ

กินอิ่มเรียบร้อย ซึ่งก็เป็นเวลาพอดิบพอดีกับที่ออร์เดอร์ของคุณน้อง Lalamove No. 1 เสร็จ ฉันจึงอาศัยช่วงที่คุณน้องเดินมารับถุงใส่อาหารที่สั่งไว้จากคุณยุ้ยตรงหน้าเคาน์เตอร์และกำลังจ่ายเงินอยู่นั้น ไปยืนข้างๆ คุณน้องลาล่า เพื่อรอจ่ายเงินค่าอาหารเป็นคิวถัดไป เพราะยังไม่เห็นว่าคุณแม่ ซึ่งเป็นผู้ช่วยของคุณยุ้ยกลับมาจากข้างนอกเลย ถ้าไม่จ่ายเงินจังหวะนี้ ไม่แคล้วต้องได้นั่งรออีกนาน เพราะคุณยุ้ยยังต้องกลับเข้าครัวไปผลิตอาหารสำหรับลาล่าที่สองและสาม

เมื่อคุณน้อง Lalamove No. 1 เดินออกไป คุณยุ้ยก็หันมาส่งยิ้มให้ฉัน พร้อมกับบอกราคาอาหารที่ต้องจ่าย ซึ่งเมื่อเทียบวัตถุดิบของทางร้านและคุณภาพอาหารแล้ว ฉันคิดว่าราคาอาหารมื้อนี้ไม่แพงเลย ค่าอาหารและเครื่องดื่มทั้งหมดสามเมนูรวมกันเป็น 370 บาท

ก่อนจะอำลาจากร้าน ฉันถามคุณยุ้ยว่าเค้กยาคูลท์ปีโป้เนี่ย มีวันทำแน่นอนมั้ย แบบมันอยากกินมากไง คุณยุ้ยบอกว่าไม่ได้กำหนดแน่นอนตายตัว นั่นแปลได้ว่า ขึ้นอยู่กับโชคของแกนั่นแหละนะ วันไหนมาแล้วได้กินก็แฮปปี้ไป

จ่ายเงินเสร็จ เปิดประตูเดินออกจากร้าน ยืนถ่ายรูปหน้าร้านสักพัก ฉันจึงออกเดินอีกครั้ง และก็ได้พบกับคุณแม่ของคุณยุ้ยที่กำลังเดินกลับร้าน คุณแม่จำฉันได้ ท่านยิ้มให้ฉันและถามด้วยความแปลกใจว่า กินเสร็จแล้วเหรอ ฉันเลยส่งยิ้มให้ท่านและตอบว่าค่ะ (ในใจแอบขวยเขินเล็กน้อย เพราะคุณแม่คงไม่คิดว่ารูปร่างอย่างฉันจะมีสปีดการกินอาหารในระดับอีแร้งลงน่ะสิ)

เป็นอันว่าภารกิจที่หมายมั่นตั้งใจเอาไว้ก็บรรลุในระดับหนึ่ง เสียดายก็แต่ยังไม่ได้มีโอกาสชิมเซี่ยงไฮ้ต้มยำปลาเก๋ากับเค้กยาคูลท์ปีโป้เนี่ยแหละ เอาไว้คราวหน้าถ้าได้มาแถวนี้อีก ฉันจะอ้อนวอนเทพยดาฟ้าดินให้ช่วยเป็นใจ ดลบันดาลให้ความฝันของฉันเป็นจริงก็แล้วกัน

ก่อนจะลากันไป บอกข้อมูลของที่ร้านเอาไว้หน่อยน่าจะดี เผื่อผู้อ่านคนไหน อยากไปชิมอาหารฝีมือเชฟยุ้ย Food Route เปิดวันอังคาร-เสาร์ (ปิดวันอาทิตย์-จันทร์นะจ๊ะ) เวลาทำการ 10:00-17:00 ตั้งอยู่ที่ซอยเพ็ญพัฒน์ 1 ถนนมหาราช ลองสอบถามเส้นทางผู้คนแถวนั้นดู หาไม่ยากหรอก ก็ฉันยังหาเจอเลยนี่นะ

หากเป็นไปได้ แนะนำว่าให้ไปตั้งแต่ร้านเปิดกันเลยดีกว่า จะได้กินอาหารเร็วๆ ไงล่ะ อ้อ! ในซอยเดียวกันนี้ ยังมีร้านคาเฟ่เจ้าดังอีกร้านที่ตั้งอยู่ฝั่งตรงข้าม เยื้องๆ กันกับ Food Route ด้วยแหละ ร้านที่ว่าก็คือ Blue Whale ชื่อร้านก็บอกอยู่แล้วว่าบลู ดังนั้นร้านนี้จึงตกแต่งร้านด้วยโทนสีฟ้า น้ำเงิน สวยเชียวล่ะ

นี่ฉันยังไม่เคยลอง Blue Whale หรอกนะ อาศัยดูรูป อ่านรีวิว เช่นเดียวกับ Food Route นั่นแหละ เอาไว้คราวหน้าฉันอาจจะเผื่อพื้นที่ในกระเพาะสำหรับเครื่องดื่มสีฟ้าสวยของทางร้านสักแก้ว ดูเป็นความคิดที่ดี ว่าแต่ครั้งหน้าที่ว่าน่ะ เมื่อไหร่ล่ะแก

ก่อนจะลากันไป (ยังไม่ไปอีกหรา นี่ลารอบสองแล้วนะ) ฉันมีรูปภาพที่ได้ถ่ายเอาไว้สำหรับมื้ออาหารในวันนี้ให้ชมเพลินๆ กันด้วยนะ เลื่อนลงไปดูกันได้เลยจ้ะ

นี่คือเส้นทางที่ฉันเดินมา ถนนเชตุพนตัดกับถนนมหาราช

จากภาพแรก เมื่อข้ามถนนแล้ว เดินไปทางซ้าย สังเกตป้ายเขียวๆ ของร้าน Riva Arun
นี่แหละจ้ะ ที่ตั้งของซอยเพ็ญพัฒน์ 1 You have reached your destination!

นี่ไงล่ะ ราวเหล็กกั้นและป้ายไม้บอกชื่อซอย

ในซอยก็จะหน้าตาประมาณนี้ ฝั่งซ้ายมือ แถวๆ ต้นกล้วย เห็นป้ายสีน้ำเงินมั้ย
อันนั้นร้าน Blue Whale ไงล่ะ ส่วน Food Route อยู่ฝั่งขวานะจ๊ะ
ในภาพนี้คือป้ายสีขาวแว้บๆ ตรงมุมบนด้านซ้ายร่มกันแดดของร้านขายน้ำมะพร้าว

เดินเข้ามาจนเห็นร้านฮงสุน นั่นแหละจ้า

Food Route อยู่คูหาติดกันเลย เข้าไปเลย

ภายในร้าน ตรงบริเวณเคาน์เตอร์สั่งอาหาร

ของประดับตกแต่งร้านคือกาน้ำชาเก่าแก่มากมาย

กาน้ำชาเพียบ

สวยเนอะ ดูเพลินเลย

มีหนังสือให้หยิบมาอ่านระหว่างรออาหารด้วยนะ ชอบตะเกียงด้านบนจัง

พัดลมแบบโบราณก็มีให้ดู

ตะเกียงโซนนี้ก็สวย มีหลายแบบหลายสีด้วย

ป้ายชื่อร้านอันเก่า เถาปิ่นโตที่วางไว้ข้างกันก็น่ารักดี

ชาเขียวโตเกียวปั่นของข้าพเจ้าเอง

ข้าวผัดแจ่วแซลมอนย่าง

ข้าวเนื้อปูผัดพริกเกลือ

คนเดียวกินสองจานไปเล้ย อิ่ม ฟิน

ป.ล. โอย...โพสต์วันนี้เหนื่อยมากค่ะ กว่าจะเสร็จ ใช้เวลาอยู่นาน หวังว่าจะถูกใจท่านผู้อ่านไม่มากก็น้อย (แต่มากๆ ไว้ก่อนเหอะ ฉันจะได้ชื่นใจ)

Sources

ภาพประกอบ: My own collection

Comments