วันนี้ฉันมีนัดช่วงเย็น เป็นนัดสำคัญ พลาดไม่ได้เลยเชียว เปล่าค่ะ นี่ไม่ใช่การนัดดูตัวแต่อย่างใด (แกก็อายุปูนนี้แล้ว ใครเค้าจะมาดูตัวกันเล่า) แต่มันคือการนัดพบหมอฟันประจำปีของฉันนั่นเอง
ใช่ค่ะท่านผู้อ่าน ฉันไปหาหมอฟันปีละครั้งเท่านั้น หลังจากตรากตรำใช้ฟันในการเคี้ยวอาหารเป็นเวลา 365 วัน (หรือรอบนี้อาจจะเกินก็ได้ เพราะมันเลยรอบปีไปเกือบสองเดือนแล้ว) ฉันก็จะต้องพบหมอเพื่อไปขูดหินปูน และทำการตรวจเช็คสภาพฟันในปากว่ายังสมบูรณ์ดีหรือไม่ มีซี่ไหนผุ ซี่ไหนต้องอุดบ้างรึป่าว
แต่ละครั้งที่ไปหาหมอฟัน ฉันจะต้องเตรียมใจให้พร้อมรับฟังเสียงเครื่องไม้เครื่องมือของคุณหมอ ก็ไม่รู้หรอกว่าอุปกรณ์แต่ละชิ้นมันมีชื่อเรียกว่าอะไรบ้าง รู้แต่ว่าเครื่องมือที่เป็นด่านแรกสุดนี่ ช่างส่งเสียงได้เข็ดฟัน เสียดสีแก้วหูเหลือเกิน อารมณ์ประมาณได้ยินเสียงมีดที่ขูดกับพื้นผิวของจาน มันจะดังวี้ดๆ แหลมๆ เป็นโทนเสียงที่โหดร้ายทารุณต่อกระดูกค้อน ทั่ง โกลนของคนไข้มากเลยค่ะคุณหมอ
ต้องนอนทนฟังเสียงวี้ดแหลมบาดหูนี่ไปเรื่อยๆ รวมทั้งต้องหักห้ามใจไม่ให้บีบมือตัวเองด้วยความเกร็งเนื่องจากเสียงอันรบกวนโสตประสาทนี้ไปด้วย เพราะก่อนหน้านั้นฉันเคยบีบมือไง แล้วทำให้คุณหมอเข้าใจผิดคิดว่าฉันเจ็บฟัน ยังดีหน่อยที่คุณพยาบาลผู้ช่วยมีอุปกรณ์มหัศจรรย์อย่างผ้าปิดหน้าคนไข้คอยบริการ
เจ้าผ้าปิดหน้าเนี่ย ฉันว่ามันช่วยได้มากทั้งคุณหมอและคนไข้เลยล่ะ เพราะมันจะช่วยปกปิดบริเวณใบหน้าของคนไข้ มีเปิดช่องกลมๆ เอาไว้แค่ตรงบริเวณปากเท่านั้น คนไข้ก็ไม่ต้องหวาดกลัวกับบรรดาอุปกรณ์ทำฟันที่เข้ามาในปากตัวเอง ส่วนคุณหมอก็ไม่ต้องทนเห็นสีหน้าบิดเบี้ยวชวนทรมานใจของคนไข้ไงล่ะ
ข้อดีสำคัญที่ทำให้ฉันชอบมาหาคุณหมอท่านนี้ เนื่องจากคุณหมอเป็นคนมือเบา และขณะทำการตรวจรักษาสภาพฟันของคนไข้ คุณหมอจะเปิดเพลงคลอเบาๆ ไปด้วย ซึ่งมันช่วยให้ผ่อนคลายมากเลย ทำให้ฉันลืมๆ ไอ้เสียงวี้ดๆ ก่อนหน้านี้ไปได้บ้าง
หลังจากผ่านด่านอุปกรณ์เสียงแหลมเป็นที่เรียบร้อย จากนั้นคุณหมอก็เปลี่ยนมาใช้เครื่องมือที่ช่วยในการขูด ดึง แงะ และแคะหินปูนที่ฟันแต่ละซี่ รวมไปถึงบริเวณซอกฟันด้วย ซึ่งขั้นที่สองนี้ ฉันค่อนข้างโอเคอยู่นะ ไม่มีเสียงแหลมรบกวนให้วิตกจริต แต่อาจจะมีตกใจบ้างตอนคุณหมอทำการขูดเสร็จสรรพและบอกให้คนไข้บ้วนน้ำล้างปาก เพราะว่ามันจะมีเลือดปนออกมากับน้ำด้วยเล็กน้อย
ลำดับต่อไป ฉันไม่แน่ใจว่ามันคืออะไร แต่คิดว่าเป็นการเคลือบฟลูออไรด์ โดยคุณหมอจะใช้เครื่องมือที่น่าจะเป็นแป้นกลมๆ เอามาถูตามฟันแต่ละซี่ นี่เป็นขั้นตอนที่ฉันชอบมาก เพราะมันหมายถึงฉันได้ผ่านสมรภูมิอุปกรณ์ทำฟันมาจนครบถ้วนแล้ว เมื่อคุณหมอทำการเคลือบฟันเสร็จเรียบร้อย คุณพยาบาลผู้ช่วยเปิดผ้าคลุมหน้าออกให้ พร้อมกับดึงผ้ากันเปื้อนที่เหน็บไว้ตรงคอออก ฉันก็แสนจะโล่งใจ
ก่อนจะอำลาคุณหมอ เพื่อความแน่ใจ ฉันจึงสอบถามคุณหมอว่ามีฟันผุบ้างไหม คุณหมอบอกว่าไม่มีครับ เจอกันปีหน้าเลยนะ เมื่อนั้นฉันจึงสบายอกสบายใจอย่างแท้จริง หันไปไหว้คุณหมอและเดินยิ้มออกจากห้องตรวจ รอเวลาจ่ายเงินค่าทำฟัน
นั่งรอสักพัก พนักงานหน้าเคาน์เตอร์ก็เรียกชื่อฉัน เพื่อแจ้งยอดค่าบริการที่ต้องจ่าย จากนั้นคุณพี่พนักงานก็ก้มลงมองใบประวัติและเงยหน้ามาถามฉันพร้อมสีหน้าประหลาดใจว่า นัดครั้งต่อไป คุณหมอเขียนว่าปีหน้าเลยนะคะ คนไข้จะโทรมานัดเองใช่มั้ยคะ คาดว่าแกคงไม่ค่อยเจอคนไข้ประเภทที่นัดพบหมอปีละครั้งอย่างฉันแหงๆ
เห็นสีหน้าพิศวงของคุณพี่พนักงาน ฉันจึงยิ้มตอบและยืนยันให้แกสบายใจว่าถูกต้องแล้วค่ะ เมื่อจ่ายเงินเรียบร้อย จากนั้นฉันก็เดินทางกลับบ้าน ไปกินโจ๊กเจ้าอร่อยและหมูทอดที่พ่อจ๋ากับแม่ซื้อมาฝากจากบรรดาร้านค้าที่ตั้งอยู่ใกล้โรงพยาบาลนั่นแหละ อ้อ! ลืมบอกไปว่าระหว่างที่ฉันกำลังทำฟันอยู่นั้น พ่อกับแม่ที่มาด้วยกันก็ไปเดินซื้ออาหารและผลไม้ พร้อมกับนั่งกินโจ๊กเป็นอาหารเย็น
ได้ยินแม่เล่าว่า นี่เป็นร้านโจ๊กเจ้าโปรดของพ่อจ๋า อืม...อร่อยจริงซะด้วย ขนาดฉันสั่งแค่โจ๊กเปล่าล้วนๆ ไม่ใส่หมู ตับ เครื่องใน ขิง ผักชี ต้นหอมใดๆ ทั้งสิ้น ยังอร่อยเลย (เผื่อใครยังไม่รู้ ฉันชอบกินโจ๊กเปล่ามาก เลี้ยงง่าย ไม่เปลืองเนอะ)
ถือเป็นการจบการทำฟันประจำปีอย่างงดงาม ฟันสะอาดปราศจากหินปูน กลับบ้านมาก็ได้นั่งกินโจ๊กอุ่นอร่อย ดีจริงๆ
Source
ภาพประกอบ: Photo by Plush Design Studio from Pexels
Comments
Post a Comment