ในช่วงชีวิตที่ผ่านมาของฉัน กิจกรรมอย่างหนึ่งที่คุ้นเคยเป็นอย่างดีคือการเรียนพิเศษ เรียกได้ว่าวนเวียนอยู่กับโรงเรียนสอนกวดวิชามาตั้งแต่ ป.5 กันเลย โดยจุดประสงค์แรกเริ่มของการเรียน เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมสำหรับการสอบเข้าชั้น ม.1 ในโรงเรียนรัฐบาลใกล้บ้าน
วันเสาร์-อาทิตย์ อย่าหวังว่าจะได้นั่งเล่นเย็นๆ ใจ เพราะฉันต้องตื่นแต่เช้าเพื่อไปนั่งเรียนในสถาบันกวดวิชา ปิดเทอมก็ยังคงต้องไปเรียน จบชั้น ป.5 มาขึ้น ป.6 ยิ่งต้องเรียน เรียน และเรียน เพราะเวลาแห่งการสอบเข้าเรียนต่อชั้นมัธยมใกล้เข้ามาทุกทีแล้ว
เมื่อได้เข้าเรียนในโรงเรียนที่ปรารถนาเป็นที่เรียบร้อย ฉันจึงดีใจ พร้อมกับคิดไปด้วยว่า ต่อจากนี้จะได้ปลดแอก สามารถลั้ลลาในวันหยุดได้ซะที พอกันทีชีทความรู้ สูตรลับ และการท่องจำข้อมูลทั้งหลายทั้งปวง
ทว่า ฝันหวานๆ ของฉันกลับไม่เป็นดังหวัง ชีวิตเด็กมัธยมก็ไม่ได้ต่างไปจากเด็กประถมสักเท่าไหร่กันเลย ตอนอยู่ม.ต้น ฉันก็ยังคงนั่งเรียนพิเศษเสริมที่โรงเรียน เสร็จจากที่โรงเรียนก็ต้องจับรถสองแถว เพื่อไปเรียนที่โรงเรียนกวดวิชาต่ออีก วงจรชีวิตเป็นแบบนี้อยู่นาน
เมื่อขึ้นชั้น ม.ปลาย ยิ่งเข้มข้นหนักกว่าเดิม จันทร์-อาทิตย์ ชีวิตไม่ได้ว่างเว้นจากการเรียนพิเศษ เป็นการวิ่งรอกเรียนอย่างแท้ทรู จบจากการเรียนที่โรงเรียนในช่วงเย็น ต้องรีบออกเดินทางเพื่อไปเรียนพิเศษทันที
วันนั้นเรียนเลขที่บ้านครูสอนเลขในหมู่บ้านซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลจากโรงเรียน อีกวันเรียนภาษาอังกฤษที่บ้านอดีตครูในโรงเรียนที่ไปเปิดสถาบันสอนพิเศษ เสาร์เรียนเคมีแถวสะพานควาย อาทิตย์เปลี่ยนมาเป็นฟิสิกส์แถบราชวัตรนู่นแหนะ พูดง่ายๆ ว่าแทบจะแยกร่างเรียน
เรียนมันเข้าไป จำมันเข้าไป จำได้ว่าตอนนั้น ทั้งเหนื่อยกับการที่ต้องตระเวนเดินทางและมึนเบลอไปกับการเรียน ทำให้ฉันอยากจะมีเสาร์-อาทิตย์แบบ slow life กับเค้าบ้าง แต่ก็ได้แค่นึกเท่านั้น ยังดีหน่อยที่ต่อมาบรรดาสถาบันกวดวิชาพากันมาเช่าตึกจากโครงการที่พักอาศัยที่เพิ่งจะสร้างเสร็จใหม่ๆ แถบลาดพร้าว
จากการแยกร่างไปเรียนที่นู่นบ้าง ที่นั่นบ้าง ความสะดวกก็เริ่มมาเยือนในชีวิต ประหยัดเวลาในการวิ่งรอกเดินทาง ไปมันที่เดียว ได้เรียนครบเกือบทุกวิชากันไปเลย
ในบรรดาสถานที่เรียนพิเศษที่เคยได้ไปเรียนมาทั้งหมดนี้ มีอยู่แห่งหนึ่งที่ฉันไม่เคยลืม ส่วนสาเหตุที่ทำให้ไม่ลืม ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเนื้อหาที่เล่าเรียนแต่อย่างใด ทว่า มันเป็นเพราะร้านอาหารตามสั่งร้านหนึ่งต่างหาก
จำได้ว่าหลังเลิกเรียนจากโรงเรียนในช่วงเย็นแล้ว ฉันกับเพื่อนอีกคนจะต้องรีบนั่งรถสองแถว หรือไม่ก็พี่วินออกจากโรงเรียน เพื่อเดินทางไปเรียนพิเศษวิชาภาษาอังกฤษที่บ้านของครู เมื่อไปถึงหน้าปากซอย เดินข้ามสะพานลอยไปฝั่งตรงข้าม ลงจากสะพานลอยแล้วเดินเลี้ยวเข้าซอยแรกที่เจอ เพื่อต่อรถตุ๊กๆ ไปบ้านครู
แต่ก่อนหน้าที่จะขึ้นตุ๊กๆ พวกเราจะต้องแวะกินข้าวเย็นให้อิ่มท้องเป็นที่เรียบร้อย เนื่องจากการเรียนกินเวลานานถึง 3 ชั่วโมง กว่าจะเลิกก็ปาเข้าไปสองทุ่มนู่น หิ้วท้องไม่ไหว ไส้ขาดแน่
แถวหน้าปากซอย มีร้านอาหารตามสั่งอยู่ร้านหนึ่ง ฉันกับเพื่อนเล็งแล้ว เห็นว่าดูโอเค เลยตัดสินใจเดินเข้าร้าน และเพื่อเป็นการทำเวลาให้ทันเข้าเรียน เราทั้งคู่จึงสั่งอาหารแบบเดียวกันไปเลย
ในเวลาเร่งรีบอย่างนั้น อาหารที่เหมาะกับพวกเรามากสุด ไม่น่าใช่ฟูลคอร์สหรูหราอลังการแน่ๆ (ก็แหงล่ะสิ) ดังนั้น ข้าวหมูกระเทียม ไข่ดาวนี่แหละ เวิร์คสุดๆ
คนปรุงอาหารเป็นพ่อครัว ซึ่งหากตัดสินจากหน่วยก้าน รูปร่าง หน้าตาแล้ว ได้แต่นั่งใจเต้นตุ๊มๆ ต่อมๆ รออยู่ที่โต๊ะกินข้าว พร้อมกับความกังขาในใจว่าไอ้ที่พวกเราสั่งกันไปเนี่ย มันจะออกมากินได้หรือไม่หนอ
นั่งรอและเฝ้ามองคุณพี่ผัดหมูกระเทียมอยู่ในกระทะใบใหญ่ มีเสียงตะหลิวกระทบกับกระทะให้ได้ยินโช้งเช้งอยู่เนืองๆ แป๊บเดียวเท่านั้น ข้าวหมูกระเทียมร้อนๆ มีผักชีโปะบนหมู พร้อมแตงกวาเป็นเครื่องเคียง บวกไข่ดาวสุกๆ ก็มาเสิร์ฟถึงโต๊ะ
พวกเราก้มมองอาหารในจานของตัวเอง จากนั้นราวกับนัดกันไว้ ฉันกับเพื่อนต่างเงยหน้ามองตากันโดยไม่มีคำพูด และไม่ต้องพูดพล่ามทำเพลงอะไรกันอีกต่อไป (ก็คนมันต้องรีบทำเวลานี่นะ) เราทั้งคู่ต่างก้มหน้าก้มตาตักๆ จ้วงๆ กินอาหารในจานตัวเองกันด้วยความรวดเร็ว
รสชาติข้าวหมูกระเทียม ไข่ดาวจากคุณพี่พ่อครัวคนนั้น ใช้ได้อยู่นะ ออกรสค่อนไปทางเค็มเล็กน้อย แต่ข้าวมื้อนั้นก็ทำให้ฉันกับเพื่อนอิ่มท้อง มีพลัง พร้อมออกเดินทางไปเรียนกันต่อ
แม้อาหารฝีมือคุณพี่พ่อครัวไม่ได้อร่อยเลิศเลอ หรือแตกต่างไปจากข้าวหมูกระเทียมร้านอื่นแต่อย่างใด แต่ก็น่าแปลก เมื่อไหร่ที่ฉันสั่งเมนูนี้มากิน จะต้องหวนนึกไปถึงรสชาติข้าวหมูกระเทียมของคุณพี่คนนี้ทุกครั้งไป
เม็ดข้าวร่วนๆ (บางวันก็แข็งไปหน่อย) หมูรสเค็มๆ ที่ผ่านการผัดคลุกเคล้ากับบรรดาซอสปรุงรสและพริกไทย มีกระเทียมที่บางทีก็โผล่มาทั้งเปลือกปะปนมาด้วย ผักชีต้นบางๆ ดูป้อแป้ แตงกวาสองสามชิ้นที่ฉันไม่ได้แตะ ไข่ดาวสุกๆ ที่ฉันชอบเหยาะแม็กกี้เพิ่มรสชาติอร่อย ทั้งหมดทั้งมวลนี้ มันคงจะเป็นความสุขเล็กๆ ของฉันก่อนที่จะต้องไปนั่งแช่เพื่ออัดความรู้เข้าสมองในอีกหลายชั่วโมงถัดมา
อย่างน้อยการได้เห็นภาพของคุณพี่พ่อครัวผูกผ้ากันเปื้อนสีมอซอ (ซึ่งก่อนหน้านั้นมันก็คงเป็นสีขาวแหละนะ แต่จากการผ่านศึกหน้าเตามาอย่างโชกโชนในแต่ละวัน ทำให้เกิดเป็นรอยเลอะกระดำกระด่าง กระจัดกระจายไปบนผืนผ้า) ยกจานกระเบื้องเนื้อหนาสีขาวสองจานมาเสิร์ฟให้ที่โต๊ะ แม้ไม่มีรอยยิ้มในหน้า แต่เหมือนกับแกได้ทำหน้าที่ของตนเองเสร็จสิ้นโดยสมบูรณ์แล้ว
จากนั้นแกก็หันหลัง เดินกลับไปยุ่งหน้าเตาเช่นเดิม เพื่อผลิตอาหารเมนูต่อไปสำหรับลูกค้าคนอื่นๆ ส่วนฉันกับเพื่อนต่างเริ่มต้นลงมือกินข้าวกันด้วยความหิวโหย เมื่ออิ่มแล้ว จึงเดินไปจ่ายเงินค่าอาหารตรงหน้าเตาประจำการของคุณพี่พ่อครัวนั่นแหละ
ยามที่เราสองคนเดินออกจากร้านพร้อมกับท้องที่อิ่มแปร้ ความโล่งใจก็มาเยือนและคิดไปด้วยว่า นี่พวกเราโชคดีขนาดไหนแล้วที่ไม่ต้องไปวุ่นวายเดินตามหาร้านอาหารร้านอื่นอีกต่อไป เพราะอาทิตย์หน้าก็คงได้กลับมากินฝีมือคุณพี่อีกครั้ง และอีกหลายๆ ครั้ง
ข้าวหมูกระเทียม ไข่ดาวจานนั้น คือความสุขเล็กๆ ในวันวานของฉัน ถือเป็นซอกหลืบแห่งความอิ่มเอมใจที่สามารถหาได้ในช่วงเวลาเร่งรีบ เป็นก้อนถ่านขนาดมินิแต่กลับก่อกำเนิดพลังมหาศาลให้ฉันรู้สึกกระปรี้กระเปร่า พร้อมออกเดินทางไปรบรากับคำศัพท์และไวยากรณ์ภาษาอังกฤษในวันนั้นต่อไป
Source
ภาพประกอบ: Photo by Jessica Lewis from Pexels
Comments
Post a Comment