บะหมี่หวาน


อาหารเย็นสำหรับบ้านฉันวันนี้ คือ บะหมี่ปู แน่นอนว่าน้าเบอร์สองเป็นคนทำ ทุกคนเป็นคนกิน เริ่มตั้งแต่การต้มน้ำซุปกระดูกหมูที่ต้องเคี่ยวจนรสชาติกลมกล่อม เตรียมวัตถุดิบอื่นๆ อย่างเช่น บะหมี่เหลือง เนื้อปู แผ่นเกี๊ยว กุ้ง กระเทียม และผักอีกหลายชนิด

จากนั้นน้าก็ทอดมันหมู นี่เป็นขั้นตอนที่ได้ผลลัพธ์แบบสองต่อเลยทีเดียว อย่างแรกก็คือได้กากหมูจากการทอด เอาไว้ใช้สำหรับโรยหน้าบะหมี่พร้อมกับกระเทียมเจียว อย่างที่สองที่ได้ก็คือน้ำมันจากมันหมูที่เก็บเอาไว้ทอดอาหารอย่างอื่นในการทำอาหารครั้งต่อไป

ฉันไม่ชอบกินเนื้อปู เพราะสมัยวัยรุ่นเคยเกิดอาการแพ้ปูที่ (น่าจะ) ไม่สะอาดจากการกินข้าวผัดปูถึงสองครั้งด้วยกัน การแพ้ปูทั้งสองหนนั้น ทำให้ฉันเป็นลมพิษ มันเกิดขึ้นรวดเร็วมาก แค่ตักข้าวกินไปได้สองสามคำเท่านั้น ฉันก็เริ่มคันแขนขา จากนั้นผื่นลมพิษก็ขึ้นไปทั่วตัว ต้องรีบไปโรงพยาบาลเพื่อไปฉีดยาแก้แพ้

การฉีดยาสองครั้งนั้น ฉันจำได้ดีเชียวล่ะว่ารู้สึกอายคุณหมอและคุณพยาบาลมาก เพราะโดนฉีดยาที่ก้นน่ะเซ่ (คาดว่ายาแก้แพ้ประเภทนี้ ต้องฉีดที่ก้นรึป่าว เพราะจากการแพ้ทั้งสองครั้ง ก็โดนจิ้มก้นทั้งสองครั้งเลย) หลังจากนั้นเป็นต้นมา ฉันจึงเข็ดขยาดกับการกินปู เวลาไปกินอาหารทะเล เห็นคนอื่นกินเนื้อปู กรรเชียงปูกันอย่างเอร็ดอร่อย จะต้องหักห้ามใจเอาไว้เพราะไม่อยากลงท้ายด้วยการถูกเปิดกางเกงในโชว์แก้มก้นให้คนอื่นเห็นอีก

อันที่จริงแล้ว ฉันคิดว่าตัวเองไม่น่าจะแพ้ปูหรอก เพียงแต่ว่าทั้งสองครั้งที่เกิดอาการลมพิษนั้น น่าจะมาจากการที่เนื้อปูที่อยู่ในข้าวผัดอาจจะไม่สดมากกว่า แต่ก็อย่างที่บอกแหละนะว่าไม่อยากไปเปิดก้นโชว์บุคลากรทางการแพทย์ ยิ่งตอนนี้ไม่ใช่วัยรุ่นแล้วด้วย ฉันเลยหันไปหาอาหารทะเลชนิดอื่นแทน เช่น ปลาและกุ้ง

มื้อเย็นวันนี้ น้าเลยทำหมูกรอบให้ฉันกินแทนเนื้อปู กลายเป็นบะหมี่หมูกรอบ ก่อนที่ทุกคนจะเริ่มต้นทานอาหาร จะต้องทำการปรุงรสตามแต่ความชอบของแต่ละคน ซึ่งบังเอิญว่าฉันไม่ใช่คนส่วนใหญ่ที่ชอบปรุงนู่นนี่นั่นซะด้วย ถ้าจะปรุงก็อาจจะแค่เติมซีอิ๊วขาวหรือน้ำปลา แล้วแต่ประเภทของอาหาร ไม่เคยเติมน้ำตาล (ไม่ชอบกินหวาน) ไม่ใส่พริกป่น (กินเผ็ดไม่เก่ง) และไม่ใส่น้ำส้ม (รู้สึกว่ามันไม่จำเป็น) เฮ้อ!...บางทีนะบางที แกเนี่ยแหละที่เป็นมนุษย์เยอะสิ่ง เยอะมากกว่าคนที่ปรุงนู่นนี่นั่นซะอีก

สำหรับอาหารเย็นในวันนี้ ฉันก็ยังคงยึดหลักการเดิม (หลักการเยอะสิ่งของแกน่ะเรอะ) เมื่อน้ายื่นชามบะหมี่ที่ลวกเสร็จเรียบร้อยมาให้ ฉันก็เพียงแค่ใส่ซีอิ๊วขาวเพิ่มอีกนิด จากนั้นก็ลงมือกินทันที

นั่งกินกันไปได้สักพัก แม่เริ่มพูดขึ้นว่าทำไมวันนี้บะหมี่ปูชามของแม่มันหวานจัง พร้อมกับถามน้าเบอร์สองด้วยความกังขาว่าได้เผลอทำน้ำตาลหกใส่ก้นชามของแม่รึป่าว แต่ทุกคนพากันคิดว่าแม่น่าจะลิ้นเพี้ยน เพราะเป็นที่รู้กันดีว่าน้าของฉันไม่เคยใส่น้ำตาลเวลาปรุงบะหมี่ให้คนอื่นเลยสักครั้งเดียว

หลังจากนั้นไม่นาน น้าเบอร์หนึ่งได้ตักน้ำส้มใส่เพิ่มในชามบะหมี่ของตัวเอง เมื่อคนเครื่องปรุงทั้งหลายให้เข้ากันและตักบะหมี่เข้าปาก น้าเบอร์หนึ่งก็พูดขึ้นมาว่า เอ๊ะ! ชามของน้ามันก็หวานนะ เมื่อมีคนร้องเรียนเป็นคนที่สอง ทำให้รู้ว่าลิ้นของแม่ไม่น่าจะเพี้ยนแล้วล่ะ (แม่คงคิดในใจว่า แหงอยู่แล้วสิ ทุกคนนั่นแหละต่อมรับรสเพี้ยน)

ในขณะที่สมาชิกในโต๊ะกินข้าวเริ่มมึนงงปนสงสัยว่ามันเป็นเพราะเหตุใดกันนะ น้าเบอร์สอง ผู้รั้งตำแหน่งเชฟประจำครอบครัวก็เดินมาที่โต๊ะกินข้าว ยกถ้วยน้ำส้มที่ใช้ปรุงรสขึ้นมา และใช้ช้อนตักน้ำส้มมาชิมดู หลังจากชิม คุณน้าก็ส่งเสียงอะไรบางอย่างในลำคอ ประมาณว่าฉันรู้แล้ว จากนั้นคุณน้าเชฟก็ไปหยิบขวดแก้วใบหนึ่งที่มีของเหลวใสไร้สีบรรจุอยู่ภายใน แล้วเดินมาที่โต๊ะกินข้าว

เมื่อน้ายื่นขวดนั้นมาให้ฉันอ่านฉลาก โป๊ะเชะ! ความจริงปรากฏออกมาแล้วค่ะพี่น้อง เป็นเพราะคุณน้าเชฟเข้าใจผิดว่าขวดน้ำตาลซูโครสที่อยู่ในตู้เก็บเครื่องปรุงคือน้ำส้มสายชูน่ะสิ ทำให้คนที่ปรุงรสบะหมี่ปูด้วยน้ำส้ม แทนที่จะเจอความเปรี้ยว กลับได้ลิ้มรสความหวานของน้ำตาลซูโครสไปเต็มๆ

เมื่อปริศนาความหวานอันไร้ที่มาได้รับการคลี่คลาย มนุษย์แม่ ผู้ดักจับรสชาติผิดปกติได้เป็นคนแรก (แต่กลับไม่มีใครเชื่อ) ก็บ่นออกมาเล็กน้อย และทุกคนก็หัวเราะให้กับความเข้าใจผิดของคุณน้าเชฟในครั้งนี้

เป็นอันว่าบะหมี่ปูรสเด็ดของทุกคนในวันนี้ก็ได้กลายเป็นบะหมี่หวานกันถ้วนหน้า เห็นจะมีแต่ฉันเท่านั้นแหละที่กินบะหมี่หมูกรอบ โดยไม่ได้ปรุงรสด้วยน้ำส้มสายชู (ที่มาในรูปน้ำตาลซูโครส) บะหมี่ของฉันเลยเป็นเวอร์ชันปกติ แบบไม่ผิดเพี้ยนอยู่คนเดียว

อืม...บางทีการกินอะไรโดยไม่ปรุงเพิ่มมากมายนี่ มันก็ดีไปอีกแบบนะ อย่างน้อยวันนี้ก็รอดพ้นจากการกินบะหมี่เชื่อมไง

Source
ภาพประกอบ: Photo by Mareefe from Pexels

Comments