สวัสดีวันพุธ หากเมื่อวานนี้ ใครได้อ่านเรื่องราวของฉันกับภารกิจไปตามกินอาหารร้าน Food Route อาจจะจำได้ว่ามีอยู่ช่วงหนึ่งที่ฉันเอ่ยถึงร้านขนมในละแวกใกล้เคียง ซึ่งหน้าตาขนมของที่ร้านนี้ เห็นแล้วก่อกิเลสเป็นอย่างมาก จนฉันต้องหักห้ามใจตัวเองไม่ให้ตกหลุมขนมหวานเป็นการใหญ่ ว่าแล้วก็มาเถอะ มาอ่านเรื่องเล่าภาคต่อจากเมื่อวานกันดีกว่า
อย่างที่ได้เล่าให้ฟังไปก่อนหน้าแล้วว่าการตกแต่งร้านและหน้าตาของขนมในร้านนี้ มันช่างเชิญชวนให้อยากจะลองก้าวเข้าไปข้างในซะจริงเชียว ประจวบเหมาะกับการที่ฉันพลาดหวังจากยาคูลท์ปีโป้ของร้าน Food Route เมื่ออิ่มจากอาหารคาว มันก็ต้องตบด้วยของหวาน ถูกมะ มันถึงจะครบถ้วนสมบูรณ์ (สมบูรณ์เกินไปจนอ้วนอืดน่ะสิแก)
คิดได้ดังนั้น ฉันก็รีบเดินไปหาร้านขนมที่เล็งเอาไว้โดยเร็ว อ้อ! ก่อนฉันจะลืม ต้องบอกชื่อร้านให้เรียบร้อยซะก่อน ร้านนี้มีชื่อว่า A Pink Rabbit + Bob ตั้งอยู่ริมถนนมหาราช ฝั่งตรงข้ามวัดโพธิ์ ไม่ไกลจากร้าน Food Route และฉันมั่นใจเลยล่ะว่านักท่องเที่ยวและผู้คนที่เดินผ่านไปมาแถวนั้น จะต้องรู้สึกสะดุดตากับร้านขนมเจ้านี้เป็นแน่แท้
สิ่งแรกที่เข้าตาเลย นั่นก็คือบรรดาขนมเค้กหลากหลายชนิดที่บรรจุอยู่ในตู้กระจกใสภายในร้าน แบบที่เมื่อฉันมองเห็นจากด้านนอก จะเกิดอาการอยากปรี่เข้าไปเกาะกระจกดูให้ชัดๆ ก็เค้กของร้านนี้น่ะ ทุกชิ้นล้วนได้รับการตกแต่งไว้อย่างสวยงาม หน้าตาผู้ดี ดูน่ากินมาก
เมื่อมองเหล่าของหวานจนหนำใจ ลำดับต่อมา ฉันจึงมองไปบริเวณรอบๆ ร้าน การตกแต่งร้านดูเก๋ไก๋ มีสไตล์ ฉันน่ะแอบให้ใจไปตั้งแต่เห็นรูปภาพกระต่ายและหมีที่อยู่ข้างกำแพงร้านแล้ว แบบว่าน่ารัก น่าเอ็นดู จนน่าเข้าไปเสียเงินไงล่ะ
อาศัยการมองจากเพียงภายนอก ทั้งเหล่าขนมมากมาย ภาพตัวการ์ตูนกระต่ายและหมี ไปจนถึงตู้กระจกใสที่ใส่ของหวานเอาไว้ เหล่านี้ล้วนให้ความรู้สึกไปในโทนโมเดิร์นนะ แต่เมื่อได้เห็นหน้าต่างกระจกพร้อมขอบไม้ บวกกับประตูบานเฟี้ยมแบบโบราณ ทำให้รู้สึกได้ว่าร้านนี้ดูกลมกลืนไปกับสภาพแวดล้อมของบรรดาร้านค้าเก่าแก่ที่ล้วนตั้งอยู่ในละแวกนั้นได้เป็นอย่างดี
เดินเข้าร้านมา ประหนึ่งหลงเข้ามาในร้านขายของวินเทจก็ไม่ปาน ทั้งเก้าอี้ โต๊ะ โคมไฟ เจ้ากระต่ายนีออนสีชมพู และหมีดำเรืองแสงสีฟ้า รวมไปถึงข้าวของตกแต่งทั้งหมดทั้งมวลภายในร้าน ยากจะชี้ชัดว่าเป็นสไตล์ไหนกันแน่ แต่เมื่อดูรวมๆ แล้วมีเสน่ห์เหลือเกิน (อืม...พี่ป้างก็มานะ)
เนื่องจากเป็นวันธรรมดาและยังไม่ถึงเวลาเที่ยง ตอนนั้นฉันจึงเป็นลูกค้าหนึ่งเดียวของร้าน หลังจากเล็งเค้กชิ้นที่ถูกใจอยู่หน้าร้านมาแล้วหลายรอบ ฉันตัดสินใจเลือก Salted Choc Tart เป็นชิ้นแรก ราวกับว่ากระเพาะยังคงว่างโล่งโจ้ง ลืมอาหารที่กินก่อนหน้านี้ไปเลย
อย่างที่บอกแหละว่าเค้กร้านนี้มีให้เลือกเยอะเลย อุตส่าห์ถ่อมาไกลจากบ้าน จะกินแค่ชิ้นเดียวก็เสียเที่ยวนะ มันต้องสั่งอีกชิ้นเซ่ ชิ้นที่สองนี่แหละที่เลือกยาก เพราะมันจะมีความลังเลเกิดขึ้น ระหว่าง Apple Crumble ของโปรด หรือว่าจะเป็น Lemon Dark Choc Meringue ที่มีไส้มะนาวเหลืองสดใส ดูน่ากิน แต่เอ...ไอ้เจ้าลอนตาล Custard Salted Choc นี่ก็แปลกดีนะ ไม่เคยกินที่ไหนมาก่อนเลย เอาไงดีเนี่ย แทบจะเลือกไม่ถูก แต่ใจฉันน่ะแอบเอนเอียงไปทาง Lemon Dark Choc Meringue มากกว่าอีกสองชิ้นอยู่หน่อยๆ
หันซ้ายขวาหาตัวช่วย เลยถามบุรุษชุดดำว่า เค้กมะนาวนี่มันรสหวานหรือเปรี้ยวคะ คือถ้ามันหวานเนี่ย ฉันอาจโบกมือลา ลดจำนวนตัวเลือกไปได้อีกหนึ่งไง คุณพี่ชุดดำให้คำตอบว่ามันเปรี้ยวๆ หวานๆ นะ แล้วก็ผสมความเข้มข้นของดาร์กช็อกโกแลตด้วย
โห...อธิบายได้ชวนกินมาก และเพราะได้ยินคำว่าเปรี้ยวโผล่มา จากที่กำลังลังเลใจอยู่ ฉันก็ตัดสินใจเลือกเจ้าเค้กมะนาวนี่แหละ เอาล่ะ สองชิ้นแระ พอดีกว่า (มันก็ควรพอมั้ยแก ก่อนหน้านี้กินข้าวมาแล้วด้วยนะ แถมไม่มีการพักท้องเลย ปราศจากการเดินย่อยอาหาร ไร้ซึ่งการเบิร์นพลังงานใดๆ ทั้งสิ้น จากข้าวพุ่งมาขนมทันที)
สำหรับเครื่องดื่ม เมื่อหันไปมองเมนูซึ่งเป็นกระดาษหน้าเดียวที่ออกแบบคล้ายกับใบปลิว และถูกติดเอาไว้ในหลายมุมของร้านแล้ว ฉันจึงสั่ง Mixed Berry Smoothie ระหว่างนั่งรอขนมและเครื่องดื่ม ฉันก็ลุกขึ้นถ่ายรูปมุมนู้นมุมนี้อย่างเริงร่า อารมณ์ประมาณวันนี้ร้านเป็นของฉันแต่เพียงผู้เดียว เพราะงั้นก็ถ่ายมันซะทุกมุมเอาให้สะใจกันไปเลย
เมื่อบุรุษชุดดำนำเค้กมาเสิร์ฟ ฉันก็สาละวน เฝ้าจัดองค์ประกอบต่างๆ เพื่อให้รูปออกมาดีงาม นั่งบิดจานไปมา เอียงตัวถ่ายก็แล้ว ถ่ายหน้าตรงก็ด้วย สลับตำแหน่งเค้กทั้งสองจานพร้อมแก้วเครื่องดื่มตามลำพังอยู่แป๊บนึง คุณพี่ชุดดำอาจจะนึกเห็นใจคนหัวเดียวกระเทียมลีบอย่างฉัน เลยออกปากอาสาจะช่วยถ่ายรูปให้ พี่เค้าคงคิดว่าฉันอาจอยากได้รูปตัวเองพร้อมขนมและเครื่องดื่มไง แต่นั่นมันไม่ใช่แนวฉันหรอก จึงหันไปส่งยิ้มให้คุณพี่และบอกไปว่าไม่เป็นไรค่ะ
ขณะที่ฉันกำลังวุ่นวายกับการสวมบทบาทตากล้องที่โลกไม่ได้ร้องขออยู่นั้น คุณน้องเจ้าของร้านที่เห็นการถ่ายรูปของฉันที่ไม่จบสิ้นซะที เธอเลยหยิบโทรศัพท์มือถือมาเก็บภาพของฉันบ้าง เมื่อเงยหน้าขึ้นไปเจอเธอ คุณน้องได้กล่าวทักทายพร้อมกับถามว่ามาคนเดียวเหรอคะ สั่งสองชิ้นเลย ฉันจึงส่งยิ้มบางๆ ตอบกลับไป
หุๆ ถ้าหากคุณน้องเจ้าของร้านได้รู้ว่าสาว (เหลือ) น้อยผู้บอบบางอย่างฉัน มีอะไรตกถึงท้องมาก่อนหน้านี้บ้าง ไม่แน่ว่าสายตาที่มองมายังฉัน อาจจะกลายเป็นตกใจกับปริมาณอาหารทั้งหมดที่ฉันกินเข้าไปก็เป็นได้
ตอนตัก Salted Choc Tart เข้าปากคำแรก โอว...สัมผัสได้ถึงความเข้มข้น หอมหวานของตัวช็อกโกแลตเลยล่ะ ละมุนลิ้นและดีต่อใจยิ่งนัก เปลี่ยนมาตัก Lemon Dark Choc Meringue ชิมบ้าง อืม...เปรี้ยวๆ หวานๆ จริงอย่างที่ชายชุดดำได้บอกไว้ ตัว meringue ก็เบาและฟูดี
สรุปว่าฉันชอบเค้กทั้งสองชิ้นนี้นะ มันดีคนละแบบ อยากจะเข้มข้นก็หันไปตักทาร์ตช็อกโกแลต อยากสดชื่นจากรสเปรี้ยวอมหวาน ให้เปลี่ยนมากินเค้กมะนาว ส่วน Mixed Berry Smoothie ฉันว่าถ้ารสออกเปรี้ยวมากกว่านี้อีกนิด คงจะแจ๋วไปเลย แต่อาจเป็นเพราะก่อนหน้านี้ฉันดื่มชาเขียวโตเกียวปั่นมาแล้วหนึ่งแก้วไง พอมาดื่ม smoothie เข้าไปอีก มันเลยอาจจะเลี่ยนไปบ้างเล็กน้อย แอบคิดในใจว่า รู้งี้สั่งชามาดื่มแทนดีกว่า
ระหว่างที่นั่งจิบน้ำและกินเค้กอยู่นั้น ฉันได้อ่านเรื่องราวของทางร้านไปด้วย ทำให้ได้รู้ว่า A Pink Rabbit + Bob เป็นร้านในเครือเดียวกันกับ It’s Happened to Be a Closet นั่นทำให้ฉันนึกถึงการเดินสยามในช่วงวัยรุ่นขึ้นมาเลย จำได้แม่นเลยว่านี่คือร้านเสื้อผ้าเก๋ๆ แต่งร้านสวย นอกจากนี้ยังมีขนมอร่อยๆ มาขายด้วย ฉันยังเคยซื้อเค้กเสาวรสจากร้านนี้มากินเลย เปรี้ยว อร่อยดี
เมื่อพูดถึงร้าน It’s Happened to be a Closet ก็ทำให้นึกไปถึงอีกร้านอย่าง It’s Happened to Be a Fox Princess and a Spider เพราะร้านเจ้าหญิงจิ้งจอกและแมงมุม ก็เป็นอีกร้านในเครือเดียวกันนั่นเอง (แต่ฉันยังไม่เคยไปเยือนเจ้าหญิงจิ้งจอกกับแมงมุมเลย)
นั่งอ่านต่อไปเรื่อยๆ จนถึงตรงที่ทางร้านได้เล่าว่าสไตล์การตกแต่งร้าน ใช้หลักแนวคิดเดียวกันกับ It’s Happened to Be a Closet นั่นก็คือไม่ตายตัว ไม่มีคำจำกัดความ เป็นการเชื่อมวัฒนธรรมทั้งไทย-จีน-ฝรั่ง อ่านถึงตรงนี้ ฉันเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งเลยล่ะ
ก็ลองมองไปรอบๆ ร้านดูสิ ทั้งโคมไฟแนวฝรั่ง หรือจะเป็นโต๊ะกลมแบบบ้านคนจีนใช้กัน และที่สำคัญคือ มีพระบรมฉายาลักษณ์ของรัชกาลที่ ๕ ติดไว้ที่กำแพงด้านหนึ่งของร้านด้วย เมื่อมองเยื้องลงไปทางด้านซ้ายของรูป ก็จะเห็นดอกกุหลาบสีชมพู และซิการ์ที่ใช้เป็นของไหว้สักการะอีกด้วย
เมื่อทานขนมและดื่มน้ำจนอิ่ม (ค่อนไปทางอืดมากกว่านะ) ฉันจึงลุกไปจ่ายเงินตรงเคาน์เตอร์หน้าร้าน ระหว่างรอเงินทอน ก็กล่าวชมคุณน้องเจ้าของร้านว่าร้านสวย คุณน้องยิ้มตอบกลับมา เป็นอันจบภารกิจมื้ออาหารในวันนั้น
เอิ่ม...มันก็ควรจะต้องจบไหมเล่า ทั้งข้าวผัดแจ่วแซลมอนย่าง ข้าวเนื้อปูผัดพริกเกลือ ชาเขียวโตเกียวปั่นจาก Food Route จากนั้นก็เดินมาต่อที่ร้านนี้ทันทีกับเมนูของหวานอย่าง Salted Choc Tart กับ Lemon Dark Choc Meringue แล้วก็ยังมี Mixed Berry Smoothie อีกหนึ่งแก้ว คือถ้าแกยังไม่อิ่มเนี่ย ก็คงมีอะไรผิดปกติแล้วล่ะ
แน่นอนว่าหลังจากนั้น ไม่มีอาหารและของหวานใดๆ ลงท้องฉันอีกเลย อิ่มตั้งแต่ก่อนเที่ยง ยิงยาวไปจนจบวัน และเข้านอนด้วยความสุขใจ (เพราะอาหารย่อยไปเกือบหมดแล้ว)
เช่นเดียวกันกับเมื่อวาน ฉันมีรูปมาให้ดูกันเหมือนเคย ทั้งรูปร้าน บรรยากาศภายใน เค้กและขนมต่างๆ พร้อมเครื่องดื่ม เชิญเลื่อนลงไปชมกันเลยค่ะ
นี่คือหน้าร้าน A Pink Rabbit + Bob ร้านเค้าสวยดีจัง
ดูสิ เห็นเค้กมั้ย น่ากินทั้งนั้นเลย
นี่ไงล่ะ เจ้ากระต่ายและคุณหมีที่ฉันชอบ
ด้านในร้านช่างดีงาม ราวกับหลงเข้ามาในร้านขายของวินเทจ
นี่คือบรรยากาศภายในร้านจ้ะ
ตกแต่งร้านอย่างเก๋ไก๋ด้วยเฟอร์นิเจอร์หลากหลายแบบ
ทางร้านมีเสื้อยืด หมวก และกระเป๋าผ้าขายด้วยนะ
อิๆ วันนี้ร้านเป็นของฉันแต่เพียงผู้เดียวจ้า
เจ้ากระต่ายนีออนสีชมพู และคุณหมีดำเรืองแสงสีฟ้า
เรื่องราวความเป็นมาของร้าน A Pink Rabbit + Bob
เมนูของทางร้านที่ฉันหยิบกลับมาด้วย
บริเวณเตรียมอาหาร ขนม และเครื่องดื่ม
ถ่ายมันหลายๆ มุมกันไปเลย อืม...มุมนี้แสงดีนะ เห็นคุณน้องเจ้าของร้านด้วย
หนึ่งในบุรุษชุดดำจ้า
ร้านนี้สวย น่านั่งทุกโต๊ะเลย
Salted Choc Tart
Lemon Dark Choc Meringue
Mixed Berry Smoothie และเค้กสองชิ้นของฉัน
จบแล้วจ้า เฮ้อ! เหนื่อยไม่ต่างจากเมื่อวาน ใครอยากกินเค้กหน้าตาสวย รสชาติอร่อย ขอแนะนำร้าน A Pink Rabbit + Bob นะจ๊ะ ไปลองเถอะ ได้กินขนมไป มองบรรยากาศการตกแต่งร้านไป สุดแสนจะเพลินตา เพลินพุง
Sources
ภาพประกอบ: My own collection
Comments
Post a Comment