คำชี้แจงก่อนการอ่าน: เนื่องจากบทความชิ้นนี้ เป็นการเขียนถึงเพลง To Love You More ของ Celine Dion อีกครั้งหนึ่งในบริบทที่ต่างออกไปจากบทความชื่อ "To Love You More" ที่เคยเขียนไว้ก่อนหน้านี้แล้ว
ดังนั้น หากผู้อ่านท่านใดไม่ต้องการอ่านเนืื้อหาเหล่านี้ซ้ำ สามารถข้ามการอ่านบทความชิ้นนี้ไปได้เลยค่ะ
เช้าวันนี้ ขณะที่ฉันกำลังฟัง playlist ส่วนตัว หลากหลายเพลงผ่านเข้ามาให้ได้เพลิดเพลินเจริญหู จนเมื่อรายชื่อเพลงที่ตั้งไว้ได้เลื่อนมาถึง To Love You More บทเพลงของ Celine Dion เพียงแค่ได้ยินเสียงไวโอลินนำมา ราวกับว่าเสียงนั้นกำลังพาฉันย้อนกลับไปยังช่วงเวลาที่เป็นเด็กนักเรียนมัธยม
สมัยนั้นฉันและก๊วนเพื่อนที่นับรวมกันแล้วได้สิบชีวิตพอดิบพอดี ต่างก็ติดละครโทรทัศน์ของญี่ปุ่นที่ทางช่อง 3 นำมาฉายกันแบบงอมแงมมาก เมื่อหมดคาบเรียนสุดท้ายของวัน ทุกคนจะรีบวิ่งออกจากห้องเรียน ผ่านประตูโรงเรียนไปด้วยความเร็วสูง รีบข้ามถนนไปยังฝั่งตรงข้ามโรงเรียน ซึ่งเป็นที่ตั้งของคอนโดแห่งหนึ่ง
เป้าหมายของพวกเราคือร้านอาหารชั้นล่างของคอนโดแห่งนั้นที่เปิดให้บริการแก่บุคคลทั่วไป รสชาติอาหารในร้านเป็นไง อืม...จำไม่ได้ แต่ช่างมันเหอะ ประเด็นสำคัญคือ ในร้านอาหารแห่งนั้นมีทีวี และนั่นก็เพียงพอแล้วสำหรับติ่งละครแบบพวกฉัน
แน่นอนว่าเมื่อมาถึงร้านในสภาพหอบแฮกๆ จะได้พบกับเหล่าสมาชิกร่วมก๊วนบางคน ซึ่งพากันนั่งจองโต๊ะอยู่ก่อนแล้ว และเพื่อป้องกันคุณพี่เจ้าของร้านด่าที่มาใช้สถานที่ฟรีๆ หนึ่งหรือสองคนในก๊วนจะสั่งข้าวผัดมากิน เรียกว่าเป็นการสั่งตามมารยาทที่พึงกระทำ จากนั้นเวลาแห่งความสุขก็เป็นของพวกเรา นั่งดูละครกันไป ก็มโนแย่งกันเป็นนางเอกในเรื่องที่กำลังดูอยู่
หันมองไปรอบร้าน ก็จะได้เจอเพื่อนร่วมรุ่น รุ่นพี่ รุ่นน้อง นั่งจับจองโต๊ะกันจนร้านแน่นขนัด เป็นอันว่าวันนั้น ร้านอาหารใต้คอนโด ไม่ต้องไปให้บริการลูกค้าคนไหนอีกแล้ว แค่นักเรียนจากโรงเรียนฉันก็ทำเอาเต็มทุกโต๊ะ สรุปติ่งกันทั้งโรงเรียน
ละครญี่ปุ่นในช่วงนั้น นอกจากพระเอกจะหล่อ หน้าตาดีแล้ว เพลงประกอบละครก็เพราะด้วย โดย To Love You More ที่ฉันพูดถึงในช่วงต้น เป็นเพลงประกอบละครโทรทัศน์เรื่อง Koibito Yo หรือที่รู้จักกันในชื่อภาษาอังกฤษว่า My Dear Lover นั่นเอง
ละครเรื่องนี้ ผู้รับบทนางเอก คือ Honami Suzuki นักแสดงญี่ปุ่นหน้าตาสวยแบบผู้ดิบผู้ดี ไม่ว่าจะมองมุมไหน เธอก็งาม เป็นหนึ่งในนางเอกญี่ปุ่นในดวงใจฉันในสมัยนั้น ส่วนผู้รับบทพระเอก ได้แก่ Goro Kishitani นักแสดงชายที่แหวกขนบพระเอกญี่ปุ่นทั่วไป
เชื่อว่าคนรุ่นเดียวกันกับฉันและเป็นพวกบ้าละครญี่ปุ่นเหมือนกัน จะต้องจดจำเขาผู้นี้ได้อย่างแน่นอน ที่บอกว่าจำได้ ไม่ใช่ว่าหล่อนะ แต่เพราะเขามีหน้าตาละม้ายคล้ายคลึงกับ โน้ต อุดม ประหนึ่งพี่น้องท้องเดียวกันเลยทีเดียว
เรื่องราวในละครเป็นอย่างไร ฉันจำไม่ค่อยได้แล้ว รู้แต่ฉากที่นางเอกยืนพูดกับพระเอกท่ามกลางดงดอกไม้สีแดง เป็นอะไรที่ติดตามาก และที่จำได้แม่นมากกว่าเรื่องราวในละคร ก็คือเพลงของ Celine Dion เพลงนี้นี่แหละ
อย่างที่บอกไปว่าเพลงนี้ขึ้นนำด้วยเสียงไวโอลิน โดยผู้บรรเลงก็คือ Taro Hakase นักไวโอลินมากความสามารถชาวญี่ปุ่น ใครเคยฟังเพลงนี้ จะได้ประจักษ์ถึงฝีมือการสีไวโอลินขั้นเทพของ Mr. Hakase แบบเต็มที่ไปเลย ถึงแม้ผู้ฟังคนนั้นจะเล่นเครื่องดนตรีชนิดนี้ไม่เป็นก็ตามที แต่ฉันเชื่อว่าเพียงแค่ได้ยินท่วงทำนองของไวโอลินในบทเพลง ก็น่าจะสัมผัสได้ถึงความบาด (เจ็บมะ โอ๊ะ! ไม่ใช่ล่ะ) บาดลึกเข้าไปในจิตใจ
นี่คือบทเพลงแรกที่ทำให้ฉันเกิดหลงรักในเสียงไวโอลิน เป็นเพลงที่เมื่อได้ฟังแล้ว จะรู้สึกราวกับว่าเสียงไวโอลินในบทเพลงนี้ เป็นนักร้องอีกคนหนึ่งที่กำลังร้องเพลงคู่กันไปกับ Celine Dion หากตั้งใจฟังให้ดี หลังจากจบ verse ท่อนแรกของเพลง จะได้ยินเสียงไวโอลินอันไพเราะที่คลอไปกับเพลงอย่างต่อเนื่อง
เกือบทุกครั้งที่ฟังเพลงนี้ ฉันจึงต้องฟังด้วยความตั้งใจ เรียกว่าเป็นการฟังแบบเก็บรายละเอียด ไม่ได้เป็นการฟังเพียงแค่ความเพลิดเพลินเท่านั้น เหมือนกับว่าอารมณ์เพลงมันเชื้อเชิญให้ฉันต้องคอยตะแคงหูฟังอย่างใส่ใจและลุ้นด้วยความตื่นเต้นไปกับทุกประโยคในบทเพลง เมื่อ Celine Dion ร้องจบในแต่ละประโยค ฉันจะต้องรอฟังเสียงไวโอลินที่คลอกันมากับเสียงของเธออย่างต่อเนื่อง ก็อย่างที่บอกไปแหละว่ามันเหมือนกับเพลงนี้มีผู้ขับร้องอยู่สองคน
จากเสียงไวโอลินที่ฟังดูเว้าวอนในช่วง chorus ของเพลง เปลี่ยนเป็นความหนักแน่นในช่วง bridge และหลังจากนั้นฉันก็จะได้ดื่มด่ำไปกับการโซโลไวโอลินแบบเต็มๆ และเจ้าท่อนโซโลนี่แหละที่ทำฉันใจสั่นไปกับเสียงไวโอลินที่พลิ้วไหวแต่บาดลึก เป็นท่วงทำนองที่กระแทกใจฉันเข้าอย่างจัง ฟังแล้วอยากลุกขึ้น standing ovation ให้ Mr. Hakase ด้วยความชื่นชมในความสามารถ (ใจเย็นนะแก เพลงยังไม่จบเลย อย่าเพิ่งลุก อายคนอื่นเค้าบ้างเถอะ) ก่อนที่ท่วงทำนองจะค่อยๆ กลับเข้าสู่ความเว้าวอนตามเดิมใน chorus ช่วงสุดท้ายของเพลง และจบเพลงลงอย่างน่าประทับใจ อลังการงานสร้างและสมบูรณ์แบบในความรู้สึกของฉัน
นี่คือบทเพลงแรกที่ทำให้ฉันเกิดหลงรักในเสียงไวโอลิน เป็นเพลงที่เมื่อได้ฟังแล้ว จะรู้สึกราวกับว่าเสียงไวโอลินในบทเพลงนี้ เป็นนักร้องอีกคนหนึ่งที่กำลังร้องเพลงคู่กันไปกับ Celine Dion หากตั้งใจฟังให้ดี หลังจากจบ verse ท่อนแรกของเพลง จะได้ยินเสียงไวโอลินอันไพเราะที่คลอไปกับเพลงอย่างต่อเนื่อง
เกือบทุกครั้งที่ฟังเพลงนี้ ฉันจึงต้องฟังด้วยความตั้งใจ เรียกว่าเป็นการฟังแบบเก็บรายละเอียด ไม่ได้เป็นการฟังเพียงแค่ความเพลิดเพลินเท่านั้น เหมือนกับว่าอารมณ์เพลงมันเชื้อเชิญให้ฉันต้องคอยตะแคงหูฟังอย่างใส่ใจและลุ้นด้วยความตื่นเต้นไปกับทุกประโยคในบทเพลง เมื่อ Celine Dion ร้องจบในแต่ละประโยค ฉันจะต้องรอฟังเสียงไวโอลินที่คลอกันมากับเสียงของเธออย่างต่อเนื่อง ก็อย่างที่บอกไปแหละว่ามันเหมือนกับเพลงนี้มีผู้ขับร้องอยู่สองคน
จากเสียงไวโอลินที่ฟังดูเว้าวอนในช่วง chorus ของเพลง เปลี่ยนเป็นความหนักแน่นในช่วง bridge และหลังจากนั้นฉันก็จะได้ดื่มด่ำไปกับการโซโลไวโอลินแบบเต็มๆ และเจ้าท่อนโซโลนี่แหละที่ทำฉันใจสั่นไปกับเสียงไวโอลินที่พลิ้วไหวแต่บาดลึก เป็นท่วงทำนองที่กระแทกใจฉันเข้าอย่างจัง ฟังแล้วอยากลุกขึ้น standing ovation ให้ Mr. Hakase ด้วยความชื่นชมในความสามารถ (ใจเย็นนะแก เพลงยังไม่จบเลย อย่าเพิ่งลุก อายคนอื่นเค้าบ้างเถอะ) ก่อนที่ท่วงทำนองจะค่อยๆ กลับเข้าสู่ความเว้าวอนตามเดิมใน chorus ช่วงสุดท้ายของเพลง และจบเพลงลงอย่างน่าประทับใจ อลังการงานสร้างและสมบูรณ์แบบในความรู้สึกของฉัน
To Love You More เป็นบทเพลงที่เปิดโอกาสให้ผู้ร้องได้แสดงอารมณ์ความรู้สึกออกมาอย่างเต็มที่ เพราะในเพลงนี้ มีทั้งท่อนที่ขึ้นเสียงสูง ท่อนโซโลไวโอลินอันเยี่ยมยอด รวมไปถึงการเว้นจังหวะในการร้องที่ถูกออกแบบมาอย่างดี ทำให้ผู้ร้องเพลงนี้ สามารถออกลีลาดรามาได้แบบเต็มที่ ไม่ต้องกั๊กเก็บเอาไว้
ฉันคิดว่า Celine Dion เป็นนักร้องหญิงที่มีพรสวรรค์เฉพาะตัวมาก เป็นศิลปินที่เมื่อเธอร้องเพลงใดก็ตาม ผู้ฟังจะรับรู้ได้ถึงพลังแห่งบทเพลงที่เธอต้องการสื่อสารออกมา ดังเช่นที่ฉันสามารถรู้สึกได้ถึงพลังแห่งรักจาก The Power of Love ได้ซาบซึ้งตรึงจิตไปกับเพลงอย่าง Because You Loved Me หรือรู้สึกอยากคร่ำครวญหวนไห้ไปพร้อมกันกับเธอในเพลง It’s All Coming Back to Me Now รวมทั้งเกิดพลังใจขึ้นมาจากบทเพลง That’s the Way It Is (เพลงนี้เหมาะมากสำหรับการร้องคนเดียวตอนอาบน้ำ ใครอยากสัมผัสกับพลังใจแบบที่ว่า จะช้าอยู่ไย เดินเข้าห้องน้ำ เปิดเพลงนี้ฟัง แล้วหันไปหยิบฝักบัวมาแทนไมโครโฟนกันเถอะ ถึงคุณจะไม่ได้รับพลังใจบ้าบออะไรแบบที่ฉันบอกไป อย่างน้อยก็ได้สะอาด สดชื่นจากการอาบน้ำนะ แหะๆ)
นอกจากเสียงที่ทรงพลัง ร้องเพลงส่งตรงถึงใจผู้ฟังแล้ว ท่วงท่าประกอบการร้องของเธอก็มีส่วนช่วยให้บทเพลงเหล่านั้นมีความโดดเด่นขึ้นอีกด้วย ใครเคยดูเวอร์ชัน live performance น่าจะพอจดจำลีลา ท่าทางอลังการจากเธอผู้นี้กันได้บ้าง ฉันเดาเอาว่ามันก็น่าจะเป็นโทนอารมณ์ที่คล้ายกับเวลา Mariah Carey ร้องเพลงแล้วมักจะยกนิ้วชี้ขึ้นโบกไปมานั่นแหละ วิถีดีวาสินะ
To Love You More นอกจากจะทำให้ฉันนึกถึงละครญี่ปุ่นแล้ว ยังทำให้คิดถึงหนึ่งในเพื่อนร่วมก๊วนขึ้นมาด้วย นี่เป็นเพลงที่มันชอบมาก ร้องทีไร อินจัดทุกที นึกถึงท่าทางของมันตอนร้องท่อนที่ว่า “…Here inside my heart. I’m the one who wants to love you more.” ถึงท่อนนี้เมื่อไหร่ มันจะยกมือขวาขึ้นมาแนบตรงหัวใจตัวเอง พร้อมหลับตา หน้าเชิดขึ้นเล็กน้อย และเปล่งเสียงร้องราวกับตัวเองเป็น Honami Suzuki ก็ไม่ปาน
ลีลาของมันยามที่ร้องเพลงนี้ ทำเอาฉันและเพื่อนหญิงแท้คนอื่นๆ ในก๊วน พากันยอมแพ้ เจ้าเพื่อนคนนี้ (เพื่อความสะดวก ต่อจากนี้ไป จะขอเรียกมันด้วยนามสมมติว่า N ก็แล้วกัน) ชื่นชอบเซเลอร์มูนมาก มันคลั่งไคล้ถึงขนาดไปซื้อไม้คทากายสิทธิ์แบบในการ์ตูนที่ตอนนั้นขายที่เดอะมอลล์บางกะปิ
มีอยู่ครั้งหนึ่ง N เกิดอาการโมโหที่โดนฉันล้อเรื่องไม้คทา มันจึงแปลงร่างเป็นตัวแทนแห่งดวงจันทร์ แล้วเดินดุ่มๆ มาลงทัณฑ์แบบที่ไม่ทันให้ฉันได้ตั้งตัวเอาซะเลย แล้วเด็กใสๆ (แต่ชั่วร้าย) อย่างฉันหรือจะสู้แรงโกรธาของมันได้ ก็มันเล่นเหวี่ยงสาวน้อยบอบบางอย่างฉันหมุนไปรอบตัวมันเป็นการแก้โมโห แรงหมุนแบบฟาดงวงฟาดงานี้ ทำเอารองเท้าพละข้างหนึ่งของฉันกระเด็นกระดอน ปลิวหวือออกจากวงโคจรดวงจันทร์ ไปตกอยู่ที่ไหนในระบบสุริยะก็สุดจะรู้ได้
ไอ้เพื่อนสนิทอีกคนที่เดินมาด้วยกัน (เผื่อใครอยากรู้ มันคือเลขที่ 1 ไงล่ะ) ด้วยอารมณ์รักตัวกลัวโดนเหวี่ยง เลยได้แต่แอบหลบอยู่หลังเสาตึกเรียน (ขอบใจแกมาก) แอบมองอยู่ห่างๆ อย่างไม่กล้าจะห่วงออกนอกหน้า เพราะกลัวจะโดนลูกหลง เมื่อจบการลงทัณฑ์ ตัวแทนโหดร้ายจากดวงจันทร์ก็เดินจากไปด้วยมาดนางพญา ทิ้งฉันไว้ในสภาพรองเท้าหลุดหนึ่งข้าง ผมกระเซอะกระเซิง ได้แต่เดินโซซัดโซเซไปหาเพื่อนที่หลบหลังเสาแบบแพ้หลุดลุ่ย จากนั้นก็พากันเดินตามหารองเท้าที่หลุดจากวงโคจร เป็นที่อนาถใจแก่ผู้พบเห็นยิ่งนัก
นี่แหละ N ผู้โหดร้าย มนุษย์ที่ทิ้งคำคมประจำใจของมันไว้ให้ฉันในสมุด friendship ว่า “You never know unless you try.” มันเป็นหนึ่งในสมาชิกแก๊งสามช่า โดยสมาชิกอีกสองคนที่เหลือ ประกอบไปด้วยคุณส้มกลิ้ง และคุณธัญญา (แน่นอนว่าเป็นนามสมมติ) ไหนๆ ก็เผลออ่านกันมาจนได้รู้จักกับหนึ่งช่าไปแล้ว ยังไงฉันก็ขอฝากอีกสองช่าผู้น่าเอ็นดูไว้ในอ้อมใจของท่านผู้อ่านด้วยเลยละกัน
มาต่อกันที่คุณส้มกลิ้ง ฉันรู้จักกับมันมาตั้งแต่ ม.1 เพราะเป็นเพื่อนห้องเดียวกัน เช้าวันหนึ่ง ขณะที่ฉันกำลังวิ่งเล่นกับเพื่อนผู้หญิง วิ่งอีท่าไหนก็ไม่รู้ ทำให้กำลังจะล้มหน้าคว่ำ ต้องหาหลักยึดโดยด่วน เมื่อมองแล้วไม่เห็นหลักอะไรทั้งนั้น จะเห็นก็แต่นังส้มกลิ้ง นั่งหัวเกรียนกับผมทรงนักเรียนอยู่ตามลำพัง ฉันเลยยื่นมือไปจับหัวมันเอาไว้เพื่อตั้งหลัก แต่สงสัยจะกะระยะพลาดไปหน่อย ทำให้ลงท้ายในสภาพที่กระโปรงนักเรียนของฉันคลุมโป๊ะไปบนหัวนังส้มกลิ้งพอดิบพอดี
มาต่อกันที่คุณส้มกลิ้ง ฉันรู้จักกับมันมาตั้งแต่ ม.1 เพราะเป็นเพื่อนห้องเดียวกัน เช้าวันหนึ่ง ขณะที่ฉันกำลังวิ่งเล่นกับเพื่อนผู้หญิง วิ่งอีท่าไหนก็ไม่รู้ ทำให้กำลังจะล้มหน้าคว่ำ ต้องหาหลักยึดโดยด่วน เมื่อมองแล้วไม่เห็นหลักอะไรทั้งนั้น จะเห็นก็แต่นังส้มกลิ้ง นั่งหัวเกรียนกับผมทรงนักเรียนอยู่ตามลำพัง ฉันเลยยื่นมือไปจับหัวมันเอาไว้เพื่อตั้งหลัก แต่สงสัยจะกะระยะพลาดไปหน่อย ทำให้ลงท้ายในสภาพที่กระโปรงนักเรียนของฉันคลุมโป๊ะไปบนหัวนังส้มกลิ้งพอดิบพอดี
ตอนนั้นก็ได้แต่ภาวนาว่า อย่าให้มันเงยหน้าขึ้นเลย พร้อมกับการนึกไปด้วยว่า เอ...เมื่อเช้านี้ใส่ กกน ตัวไหนมาโรงเรียนหว่า โชคยังดีที่ตอนนั้นนังส้มกลิ้งยังเป็นเด็กเรียบร้อยใสๆ ไร้มลพิษ มันเลยอายแทนฉัน นั่งก้มหน้าก้มตาในเงามืดต่อไป จนฉันยกกระโปรงออก ชีวิตมันถึงได้พบแสงสว่างดังเดิม ส่วนเหตุผลที่เรียกมันว่าส้มกลิ้ง เพราะตอนนั้นนังนี่มันชอบร้องเพลงสโมสรผึ้งน้อย เพลงโปรดของมันเหรอ ก็ส้มกลิ้งนี่แหละ “กลิ้งตัวไป ก็กลิ้งตัวมา”
มาถึงสมาชิกคนสุดท้ายของแก๊งสามช่า คุณธัญญา เป็นผู้ชายหน้าหวาน จมูกโด่ง คิ้วเข้ม ตาโต ตัวสูง เรียกว่าได้เครื่องหมายติ๊กถูกจากฉันทุกข้อ เป็นชายในฝันเลยก็ว่าได้ แต่...ในที่สุดมันก็ทำให้ฉันนก นก และนก ทิ้งให้ฉันได้แต่เฝ้าคิดด้วยความเสียดายว่าถ้าธัญญาเป็นผู้ชาย ฉันคงได้ไปยืนเขินบิดตัวต่อหน้ามันในวันแห่งความรัก เพื่อจะขอแปะสติกเกอร์รูปหัวใจไว้ที่เสื้อมันแน่นอน วินาทีที่รู้ว่ารักครั้งนี้ปลิดปลิวไป เพลงประกอบในใจก็ขึ้นทันที “ดังแก้วบาง เขาทุบทิ้งแตก ใจฉันแหลก เพราะน้ำมือเธอ”
ครั้งหนึ่งฉันและเหล่าสามช่าเคยไปเที่ยวด้วยกัน เนื่องจากตอนนั้นสมาชิกในก๊วนไม่ครบ ทำให้เป็นการเที่ยวแบบสับเซตที่มีฉันเป็นผู้หญิงเพียงหนึ่งเดียวในกลุ่ม ในครั้งนั้น สี่ชีวิตกำลังเดินจากสยามสแควร์ มุ่งหน้าต่อไปที่เวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ ซึ่งก็คือเซ็นทรัลเวิลด์ในปัจจุบัน (แกต้องดึกดำบรรพ์ขนาดไหนกัน ถึงทันยุค WTC น่ะ ย้ำอีกทีว่า WTC นะ ไม่ใช่ CTW)
ขณะที่กำลังเดินคุยกันอย่างออกรสอยู่นั้น ก็ได้เดินสวนกับชาวต่างชาติสองคน เวลานั้นประเทศไทยกำลังมีสโลแกนฮิตติดหูว่า Amazing Thailand ด้วยความดัดจริตของพวกเรา ก็ทักทายฝรั่งทั้งคู่ไปด้วยวลีนี้ และก็ได้ตื่นเต้นดี๊ด๊ากันต่อ เมื่อพวกฝรั่งชี้มือมาที่ฉันและพูดว่า “YOU are amazing.” พร้อมกับเดินจากไป ทิ้งให้พวกเรากรี๊ดกร๊าดด้วยความยินดีว่าพูดทักทายไปแล้ว เค้าพูดตอบกลับมาด้วย
ไม่ทันไร สี่ชีวิตก็เริ่มเกิดความกังขา เอ๊ะ! นั่นคือคำชมหรือด่ากันหนอ และในที่สุดก็ได้รู้ความจริง อนิจจา! มันคงเป็นเพราะหน่มน้มอันแสนกระจิ๊ดริด กระจ้อยร่อยของฉันสินะ ที่ทำให้ฝรั่ง (ผู้มีตาหามีแววไม่) ทั้งสองคนนั้นเข้าใจไปว่าพวกเราคือแก๊งสี่ช่า ช่างเป็นความคิดที่ amazing เหลือเกิน
ครั้งล่าสุดที่ได้เที่ยวกับสามช่า จำได้ว่าพวกเราไปร้องคาราโอเกะกัน แน่นอนว่า หนึ่งในเพลงที่นัง N เลือกมาร้อง จะต้องมีเพลง To Love You More อย่างไม่ต้องสงสัย และลีลาการร้องของมัน ก็ยังคงเหมือนกับตอนเป็นเด็กมัธยมในวันนั้น วันที่พวกเรามีความสุข สนุกสนานกับการได้วิ่งหน้าตั้ง เพื่อแห่ไปดูละครที่ร้านอาหารใต้คอนโด
เมื่อฉันหลุดออกจากภวังค์นึกคิดอันยาวนาน (เขียนก็ยาว จบได้แล้วแก ปล่อยคนอ่านไปตามทางของเค้าเหอะ) เพลงก็ใกล้จะจบแล้ว แน่นอนว่าหลังจากเพลงจบ จะต้องจิ้มไปกดฟังก์ชัน single loop เพื่อให้มันเล่นซ้ำไปซ้ำมาอยู่อย่างนั้น
เป็นการฟังเพลง To Love You More ด้วยความสุข พร้อมภาพตัวแทนแห่งดวงจันทร์ (ภาคพิโรธ) คทากายสิทธิ์ของเซเลอร์มูน เพื่อนผู้กล้าหาญที่หลบอยู่หลังเสา และรองเท้าผ้าใบที่ปลิวไปในอากาศข้างนั้น
Source
ภาพประกอบ: Photo by luizclas from Pexels
Comments
Post a Comment