หลายปีมาแล้ว ขณะร่วมวงกินข้าวท่ามกลางหมู่เพื่อน เมื่ออาหารในจานเหลือเป็นชิ้นสุดท้าย ในสมัยนั้น ทุกคนต่างคอยจ้องตะครุบอาหารชิ้นนั้นกันตาเป็นมัน สืบเนื่องจากคำกล่าวที่บอกว่า “ชิ้นสุดท้ายแฟนหล่อ/แฟนสวย” อาหารชิ้นสุดท้ายในตอนนั้น จึงเปรียบได้กับสินค้าที่เป็น rare item หรือไม่ก็ limited edition ที่เป็นที่ต้องการของลูกค้า
เมื่อกาลเวลาผ่านไป พร้อมกับการเข้าสู่วัยผู้ใหญ่เต็มตัว ศึกแย่งชิงอาหารชิ้นสุดท้ายจึงเบาบางลง ยิ่งถ้าเป็นการไปกินข้าวแบบเป็นทางการ หรือไปร่วมทานอาหารกับคนที่ไม่ค่อยสนิท สถานการณ์เช่นนี้ อาจทำให้บางคนเกิดความเกรงใจขึ้นมาแทน และนั่นก็พลอยทำให้ไม่มีใครกล้าที่จะตักอาหารชิ้นนั้นใส่จานตัวเอง ปล่อยให้อาหารชิ้นสุดท้าย ว้าเหว่ เคว้งคว้าง โดดเดี่ยว แปลกแยก ไม่เข้าพวกอยู่ท่ามกลางผักและเครื่องเคียงที่ใช้ตกแต่งประดับจาน (ซึ่งก็ไม่ค่อยมีใครหยิบมาทานกันเท่าไหร่)
เหตุการณ์ข้างต้น น่าจะถือได้ว่าเป็น awkward situation แบบหนึ่งที่ฉันเคยประสบพบเจอ จะยิ่งรู้สึกเสียดายนิดๆ ถ้าอาหารชนิดนั้นเป็นอาหารที่ฉันชอบ มันก็จะทำใจลำบากหน่อยนึงนะกับการที่จะต้องตัดใจไม่เอื้อมมือไปตักอาหารชิ้นนั้น ได้แต่ปล่อยให้มันค้างคาอยู่ในจาน เพื่อรักษามารยาททางสังคม
แต่เมื่อเจอเหตุการณ์แบบนี้บ่อยๆ เข้า ความเกรงใจของฉันก็จะลดน้อยลง ความเสียดายของกินเริ่มเข้ามาแทนที่ เปลี่ยนมานั่งสังเกตการณ์ เฝ้าดูอากัปกิริยาของผู้ร่วมโต๊ะอาหาร หากผ่านไปสักพักแล้ว ยังคงไม่มีใครสนใจที่จะจิ้มอาหารชิ้นสุดท้าย เมื่อนั้นแหละ จึงถือเป็นโอกาสเหมาะที่จะชิงมันมาใส่จาน แล้วตักเข้าปากอย่างเอร็ดอร่อย
ในสมัยเด็ก ฉันเคยติดนิสัยเก็บของที่ชอบไว้กินเป็นอย่างสุดท้าย แต่พอได้เวลาตักอาหารชิ้นนั้นเข้าปาก บางครั้งมันก็เย็นชืด หมดความอร่อยไปแล้ว หรือแย่ไปกว่านั้น บางทีคนอื่นที่ไม่รู้เรื่องรู้ราว อาจจะมาช่วงชิงอาหารที่ฉันเล็งไว้แบบเงียบๆ ในใจไปก่อนที่ฉันจะมีโอกาสได้ตักกิน นั่นยิ่งน่าเจ็บใจเข้าไปใหญ่ เมื่ออาหารโดนแย่งไปต่อหน้าต่อตาเช่นนั้น ทำให้ฉันเลิกวิถีการกินแบบเด็กน้อยไปโดยปริยาย (กลัวโดนแย่งกินอีกนั่นเอง)
พูดถึงเรื่องอาหารชิ้นสุดท้ายขึ้นมา ทำให้ฉันนึกไปถึงเพลงที่มีชื่อว่า “Save the Best for Last” ที่เป็นเพลงโด่งดังในยุค 90 ขับร้องโดย Vanessa Williams ผู้เคยรั้งตำแหน่ง Miss America นอกเหนือจากนี้ เธอยังเป็นนักร้องและนักแสดงอีกด้วย
ฉันยังจำบทบาทการแสดงของเธอผู้นี้ได้ในภาพยนตร์เรื่อง Eraser ที่เธอแสดงคู่กันกับคนเหล็ก Arnold Schwarzenegger นั่งดูในโรงหนังไป ก็ลุ้นด้วยความตื่นเต้นไป เอาใจช่วยให้นางเอกหนีพ้นจากการไล่ล่า และฝากความหวังไว้ที่คนเหล็กให้สามารถปกป้องนางเอกให้รอดพ้นจากภยันตรายต่างๆ ไปได้ด้วยดี
มีอยู่ฉากหนึ่งในภาพยนตร์เรื่องนี้ที่ทำให้ฉันนั่งขำ เป็นตอนที่ Robert Pastorelli ที่รับบทเป็นหนึ่งในบุคคลที่พระเอกเคยช่วยเหลือไว้ในอดีต ปลอมตัวเป็นคนส่งพิซซา แล้วเกิดอาการป่วยขึ้นมาในขณะเดินเอาพิซซาไปส่งในตึก นั่นเป็นฉากที่ช่วยคลายเครียดได้ดีฉากหนึ่งในเรื่องนี้เลย
กลับมาสู่เพลง Save the Best for Last กันหน่อย มันจะมีอยู่ท่อนหนึ่งในเพลงที่ร้องว่า “Sometimes the very thing you're looking for is the one thing you can't see” ประโยคนี้ ช่างไม่ตรงกับความเป็นจริงที่ฉันเคยเจอเอาซะเลย ก็อาหารที่เล็งไว้มันมาอยู่ตรงหน้าแล้วแท้ๆ แต่กลับต้องรักษามารยาท เกรงใจคนอื่น ทำให้ไม่กล้าที่จะหยิบมากินน่ะสิ
มันเป็นความทรมานแบบหนึ่ง อยากกินแต่ไม่ได้กิน จนต้องบ่นเป็นเพลง งึมงำกับตัวเองอยู่ในใจว่า “And now we're standing face to face. Oh! nothing else left in my plate. My stomach says don’t let it pass. How can I get the very last?”
Source
ภาพประกอบ: Photo by Fancycrave.com from Pexels
Comments
Post a Comment