งานฝีมือ


สองวิชาเรียนสมัยประถมที่ฉันยังจำได้จนบัดนี้ คือ “สลน” ย่อมาจาก สร้างเสริมลักษณะนิสัย และ “กพอ” ที่มีชื่อเต็มๆ ว่า การงานพื้นฐานอาชีพ เนื้อหาในแต่ละวิชาเป็นอย่างไร จำไม่ค่อยได้แล้ว

แต่หนึ่งในสองวิชานี้แหละที่นักเรียนจะต้องทำงานฝีมืออย่างการถักผ้าพันคอ ปัก cross-stitch และการประดิษฐ์สิ่งของเครื่องใช้เล็กๆ น้อยๆ หากนักเรียนคนไหนมีฝีมือดี ประดิษฐ์ชิ้นงานออกมาได้สวยงาม ผลงานก็จะถูกนำไปจัดแสดงในวันที่ทางโรงเรียนมีงานประจำปี

เชื่อหรือไม่ว่าผ้าพันคอของฉันได้เป็นหนึ่งในผลงานที่ถูกนำออกแสดงด้วย ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อล่ะนะ แต่ผู้ประดิษฐ์งานที่แท้จริงน่ะ ไม่ใช่ฉันหรอก แต่เป็นแม่ของฉัน ผู้ซึ่งชื่นชอบงานประดิษฐ์เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว

การถักผ้าพันคอ จะเริ่มจากการถักห่วงลูกโซ่ โดยถักไปให้ยาวเท่ากับความยาวของผ้าพันคอที่เราต้องการ จากนั้นจึงเริ่มขึ้นฐาน โดยเป็นการถักเรียบๆ ไปตามห่วงลูกโซ่นั้น ถ้าจำไม่ผิด ส่วนฐานนี้น่าจะถักเป็นจำนวน 3-4 แถว จากนั้นจึงเริ่มขึ้นลายที่แท้จริง

ฉันคงไม่เหมาะกับงานประเภทนี้เท่าไหร่นัก หรือไม่ก็ความตั้งใจต่ำ แค่การถักฐานผ้าพันคอ ก็ผิดแผกไปจากชาวบ้านชาวช่องซะแล้ว เพราะแทนที่จะได้ออกมาเป็นแถวตั้งตรง ฐานผ้าพันคอของฉันกลับบานออก รูปร่างเหมือนฐานของกระถางต้นไม้ ที่ฐานแคบแล้วค่อยๆ กว้างออกไปทีละน้อย

เมื่อเห็นว่าเกินจะแก้ไขได้ ฉันจึงวิ่งไปซบอกแม่ ให้แม่ช่วยสอนฉัน แต่สอนไปสอนมา เหมือนว่าแม่จะมันมือ ก็เลยถักยาวไปเรื่อย สุดท้ายเลยกลายเป็นว่าผ้าพันคอที่นำไปส่งครู เป็นฝีมือแม่ทั้งผืนเลย

ยามที่ได้เห็นผลงานพร้อมชื่อของตัวเองตั้งโชว์ไว้บนชั้นวาง ก็แอบรู้สึกละอายใจเล็กน้อยนะ เพราะอันที่จริง ชื่อที่ติดไว้บนผ้าพันคอผืนนั้น ควรจะเป็นชื่อของแม่ฉันมากกว่า กวาดสายตาไปดูบรรดาผ้าพันคอผืนอื่นๆ แล้วเห็นชื่อเพื่อน ยิ่งละอายขึ้นกว่าเดิม พร้อมกันนั้นก็คิดปลอบใจตัวเองว่าเพื่อนก็อาจจะให้แม่ช่วยเหมือนกันก็เป็นได้ (น่าจะเรียกว่าการหลอกตัวเองมากกว่านะ)

อีกหนึ่งชิ้นงานที่อยู่ในความทรงจำของฉัน คือ ที่วางของที่ทำจากไม้ไอติม ขั้นแรกสุดคือการเลื่อยไม้อัดเป็นรูปห้าเหลี่ยมเพื่อสร้างเป็นฐาน การจะเลื่อยไม้ได้ ก็ต้องมีเลื่อยฉลุพร้อมกับใบเลื่อย พอถึงวันเรียน ก็แบกเลื่อยฉลุไปโรงเรียน เพื่อไปประดิษฐ์ชิ้นงานในชั่วโมงเรียน

ดูคุณครูสาธิตการเลื่อย เหมือนจะง่ายนะ แต่พอทำเอง แรงที่ลงไปกับเลื่อย บางครั้งก็แรงไป ทำให้ใบเลื่อยไปติดกับเนื้อไม้ มันไม่ได้ดูง่ายดาย ไร้อุปสรรคเหมือนเวลาที่ดูครูเลื่อย แค่การสร้างฐาน ก็เล่นเอาฉันแทบจะจิกทึ้งหัวตัวเองด้วยความเครียดแล้ว

กว่าจะได้ฐานแบบบิดเบี้ยวมาสักอันหนึ่ง เสียพลังไปเยอะ เมื่อได้ฐานมา จากนั้นจะเป็นการใช้กระดาษทรายขัดไปตามเหลี่ยมมุมของไม้อัด เพื่อให้ได้ฐานที่มีพื้นผิวเรียบสวยงาม ขั้นตอนนี้ ไม่ยากเท่าไหร่ สามารถผ่านไปได้อย่างสบายใจ

มาสู่ขั้นตอนต่อไป เป็นการติดไม้ไอติมเข้ากับฐาน โดยไม้ไอติมนั้น นักเรียนก็จะต้องไปหากันเอาเอง วิธีการได้มาซึ่งไม้ไอติมของฉันน่ะเหรอ ก็เหมือนกับเพื่อนในชั้นคนอื่นๆ น่ะแหละ วันเสาร์-อาทิตย์ก็ไปนั่งเฝ้ารถไอติม เมื่อรถผ่านมาหน้าบ้านพร้อมเสียงดนตรี ก็วิ่งไปเรียกให้รถหยุด แล้วก็ไปเลือกซื้อไอติมแบบแท่ง เรียกว่าช่วงนั้นกินไอติมจนชุ่มปอดกันไปเลย

แต่กระเพาะเล็กๆ ของเด็กประถม กินได้มากสุดก็ไม่น่าจะเกินสองสามแท่งหรอก ทำให้จำนวนไม้ไอติมที่ค่อยๆ เก็บสะสมเพื่อเอามาประดิษฐ์ชิ้นงาน ไม่เพียงพอต่อความต้องการ เมื่อนั้นแหละ จึงต้องเดินเข้าร้านขายวัสดุ อุปกรณ์ที่ใช้ประดิษฐ์งานฝีมือ เพื่อไปหาซื้อไม้ไอติมสำเร็จรูป

ฉันไม่ค่อยชอบเจ้าไม้ไอติมสำเร็จรูปเอาซะเลย เพราะเนื้อไม้มันขรุขระ ไม่เรียบเนียนสวยเหมือนไม้ไอติมที่ซื้อจากรถไอติม แต่ทำไงได้ กินไม่ทัน ก็ต้องใช้ผสมกันไป ทำให้ที่วางของที่ฉันประดิษฐ์ขึ้นมานั้น ไม้ไอติมบางแท่งก็มีผิวเรียบ ในขณะที่บางแท่งกลับมีผิวขรุขระ แน่นอนว่างานชิ้นนั้น ไม่ได้ขึ้นโชว์

ฉันคิดว่าจุดประสงค์ของวิชาเหล่านี้ น่าจะต้องการสอนให้เด็กนักเรียนมีความอดทน และสามารถสร้างผลงานของตนเองด้วยความภาคภูมิใจ ซึ่งเป็นสิ่งที่ดี (ถ้าเด็กคนนั้นทำงานด้วยตัวเอง) แต่สำหรับนักเรียนผ่าเหล่าผ่ากออย่างฉัน ความสุขในตอนนั้น น่าจะเป็นความดีใจที่ได้กินไอติมมากกว่าปกติ ซึ่งถือเป็นผลพลอยได้มาจากการเรียนต่างหาก อืม...ช่างเป็นนักเรียนที่ดีซะจริงนะแก

Source

Comments